Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีการผู้สูงอายุ (Aging Theory - Coggle Diagram
ทฤษฎีการผู้สูงอายุ
(Aging Theory
วัตถุประสงค์
มีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีการผู้สูงอายุ
เห็นความสำคัญของการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีการผู้สูงอายุ
นำทฤษฎีการผู้สูงอายุไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ
ลักษณะความสูงอายุ
ผมสีเทา ขาว
ฟันหลอ
ผิวหนังเหี่ยว แห้ง รอยตีนกา
การมองเห็นลดลง (สายตายาว)
หูตึง
กระบวนการสูงอายุ
กรรมพันธุ์
สิ่งแวดล้อม
อิทธิพลวัฒนธรรม
การออกกำลังกาย
สุขนิสัยในการรับประทานอาหาร
ประวัติความเจ็บป่วยในอดีต
การดำเนินของกระบวนการสูงอายุในแต่ละบุคคล
กลไกของความสูงอายุ
ความสูงอายุก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในร่างกาย
สรีรวิทยาเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา อาจใช้เวลาหลายปี
เกิดขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายปรับตัวน้อยลงและทำหน้าที่ลดลง
หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับความสูงอายุ
ความสูงอายุเป็นการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นลำดับขั้น เกิด-สูงอายุ
ความสูงอายุเป็นของขวัญที่ได้จากการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 20 เช่น อินซูลิน วัคซีน การผ่าตัด
ความสูงอายุตามธรรมชาติแตกต่างจากความสูงอายุโดยพยาธิสภาพการเกิดโรค ทำให้อวัยวะเสื่อม
ยังไม่มีทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในการอธิบายความสูงอายุ
การจำแนกลักษณะของผู้สูงอายุ
ทฤษฎีทางชีววิทยา (Biological Theory)
ทฤษฎีความมีอายุทางชีวภาพ
ทฤษฎีเชื่อมตามขวาง (Cross-link theory)
โปรตีนในร่างกาย ประกอบด้วย collagen 30%
Collagen เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูก กระดูกอ่อน tendon ligament กล้ามเนื้อ ผนังหลอดเลือดแดง ผิวหนัง
เมื่อเส้นใย collagen เข้าสู่เนื้อเยื่อครั้งแรก โมเลกุลจะเกาะกันหลวมๆ ทำให้เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่น
เวลาผ่านไปจะเกิดการเชื่อมไขว้และเกาะกันใกล้ชิดมากขึ้น มีลักษณะแข็งแตกแห้ง สูญเสียความยืดหยุ่น
Hyperglycemia ส่งเสริมให้โปรตีนเกาะกันมากขึ้น ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมีน้ำตาลในเลือดสูง และการสูญเสียความยืดหยุ่นของเซลล์
การเชื่อมตามขวางของ collagen และโปรตีนโมเลกุลใหญ่ ในเซลล์ไม่เพียงแต่ทำให้เนื้อเยื่อติดแข็งเท่านั้น แต่ยังทำให้จำนวนเม็ดเลือกขาวลดลง มีการใช้สารอาหารลดลง มีการต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้เกิดการผิดพลาดในการขับสารพิษจากกระบวนการ metabolism ออกมา
ความสูงอายุที่ปรากฏตามทฤษฎีเชื่อมตามขวาง
ผิวหนังแห้ง ขาดความตึงตัวและยืดหยุ่น
ปอดขยายตัวไม่ดี
หลอดเลือด และ tendon แข็ง ขาดความยืดหยุ่น ข้อติดแข็ง
ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์
ต้อกระจก
สารอาหารที่มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเชื่อมขวางได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
ทฤษฎีอนุมูลอิสระ (Free radical theory)
อนุมูลอิสระ เกิดจาก กระบวนการ metabolism ของไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นโมเลกุลเกี่ยวที่ reactive ประจุลบ ไวต่อปฏิกิริยาอิเล็กตรอน ไปจับกับโมเลกุลอื่น ทำให้เกิดกระบวนการ oxidation ส่งผลต่อโครงสร้างดั้งเดิมและหน้าที่ของเซลล์
อนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายจากการรับประทานอาหารหรือหายใจเข้าไป เช่น อาหารทอดไหม้เกรียม มลพิษทางอากาศ ยากำจัดศัตรูพืช แสงแดด รังสี บุหรี่
นำ antioxidants เช่น วิตามิน A C E และแร่ธาตุซีลิเนียม เพื่อต่อต้านผลกระทบจากอนุมูลอิสระ และเพื่อยืดอายุเซลล์
การจำกัดพลังงานในอาหารจะช่วยชะลอกระบวนการเผาผลาญในร่างกายให้ช้าลงโดยเฉพาะไขมัน
ความสูงอายุที่ปรากฏตามทฤษฎีอนุมูลอิสระ
อวัยวะที่สัมผัสลม และแสงแดดมากกว่าบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น มือ ใบหน้า ผิวบางจนมองเห็นเส้นเลือดชัดเจน
เส้นเลือดเปราะบาง
รอยย่นบริเวณหางตา
อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้จากการที่ melanocytes ลดลง
ทฤษฎีความเสื่อมโทรม (Wear and tear theory
เปรียบเทียบการทำงานของร่างกายเหมือนเครื่องจักร
อวัยวะที่มีการใช้งานมากกว่าย่อมเสื่อมได้ง่ายและเร็วกว่า
มนุษย์สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ และใช้งานต่อไปได้
ข้อจำกัดของทฤษฎี คือ อวัยวะที่ไม่ค่อยได้ทำงานจะเสื่อมก่อน
อวัยวะที่ทำงานมากจะขยายใหญ่ขึ้น เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ
อวัยวะที่ใช้งานมาก ได้แก่ ข้อไหล่ ข้อเข่า
ทำให้มองเห็นประโยชน์ของการส่งเสริมสุขภาพ และการชะลอความเสื่อมของร่างกาย เช่น การออกกำลังกาย และการลดน้ำหนัก
ทฤษฎีการสะสม (Accumulative theory)
ของเสียจากกระบวนการmetabolism ส่วนใหญ่ขับออกทางระบบไหลเวียนโลหิต
เซลล์ที่ใช้งานแล้ว ผลิตสาร lipofuscin เป็นโปรตีนและไขมันที่เหลือจากการเผาผลาญอาหาร
เป็นสาร inert ถูกสะสมในเซลล์ พบในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์ประสาท ตับ หัวใจ รังไข่ ผิวหนัง
วัยสูงอายุพบ lipofuscin มากบริเวณ เซลล์ประสาท ถ้ามีมากอวัยวะนั้นจะไม่ทำงาน และเสื่อมถอยไป
วิตามินอี สารซีลีเนียม ยับยั้งการสะสมของ lipofuscin ได้
ทฤษฎีนาฬิกาทางพันธุกรรม (Genetic program theory หรือ Genetic clock theory)
อายุขัยของมนุษย์ถูกโปรแกรมก่อนเกิด กำหนดไว้โดยยีนใน DNA ถ่ายทอดให้ลูกหลาน
ความสูงอายุถูกกำหนดไว้โดยรหัสที่อยู่ในยีน
มนุษย์สามารถคาดการณ์อายุขัยได้
สำหรับมนุษย์ที่อยู่สิ่งแวดล้อมที่ดีจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 85-90 ปี
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมก็จะมีผลทำให้รหัสพันธุกรรม ซึ่งเป็นตัวกำหนดอายุขัย เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
ทฤษฎีความคาดเคลื่อน (Error Theory)
สะสมความผิดพลาด ความแก่เกิดจากนิวเคลียสของเซลล์ ที่มีการถ่ายทอด DNA ที่ผิดปกติไปจากเดิม ทำให้เซลล์ใหม่ที่ได้แตกต่างไปจากเดิม และกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม และร่างกายจะสร้างอิมมูนมาต่อต้าน เป็นผลให้เซลล์เสื่อมสภาพและทำหน้าที่ไม่ได้
ทฤษฎีการผ่าเหล่า (Somatic mutation theory)
การกลายพันธุ์ เกิดจากการได้รับรังสีทีละเล็กทีละน้อยเป็นประจำ จนเกิดการเปลี่ยนแปลง DNA และเกิดการผันแปรของเซลล์หรืออวัยวะในระบบต่างๆ ทำให้เกิดการแบ่งตัวผิดปกติ เกิดโรคหรือเกิดมะเร็ง
ทฤษฎีทางจิตวิยา (Psychological Theory)
ทฤษฎีของอิริคสัน (Erikson’s Epigenetic Theory)
พัฒนาของคนมี 8 ระยะ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ
ระยะ 7 เป็นช่วงวัยกลางคน(40-59 ปี)
ระยะ 8 เป็นช่วงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
ระยะ 7 เป็นช่วงวัยที่มีความทะเยอทะยาน มีความคิด สร้างสรรค์ ต้องการสร้างความสำเร็จในชีวิต ถ้าประสบความสำเร็จ จะรู้สึกพอใจในความมั่นคง ความภาคภูมิใจ และ สืบทอดไปยังรุ่นลูกหลาน แต่ถ้าไม่ประสบความสาเร็จในชีวิตช่วงนี้ก็จะกลายเป็นคนที่มีชีวิต เหงาหงอย เบื่อ ขาดความกระตือรือร้น
ระยะ 8 เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว บุคคลจะต้องพัฒนาความรู้สึกได้ว่า ตนได้กระทำกิจต่างๆ ที่ควรทำเสร็จสิ้นตามหน้าที่ของตนแล้ว ยอมรับได้ทั้งความสำเร็จสมหวังและผิดหวัง ทำใจยอมรับความรู้สึกของตนเอง และผู้อื่นอย่างที่เขามีเขาเป็น และมีความพอใจในชีวิตของตนเอง ในทางตรงข้ามหากรู้สึกว่าชีวิตตนขมขื่น ทุกข์ ร้อน และผิดหวัง งานที่ทำไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต จมอยู่กับความหลัง อาลัยอาวรณ์ ยอมรับอดีตไม่ได้ ปล่อยวางไม่สำเร็จ คิดแต่ว่าเวลาเหลือน้อย ไม่สามารถคิดหรือทำอะไรใหม่ๆได้ เพื่อแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด ทำให้เกิดความรู้สึก สิ้นหวังไร้ค่า อาจหลีกหนีชีวิตหรือฆ่าตัวตายได้
ผู้สูงอายุควรทำใจยอมรับทั้งความสำเร็จและล้มเหลงอย่างเข้าใจและปล่อยวาง เพื่อให้เกิดความสุขสงบในการดำเนินชีวิตต่อไป
ทฤษฎีของเพค (Peck’s theory)
โรเบิร์ต เพค แบ่งผู้สูงอายุเป็น 2 กลุ่ม คือ
ผู้สูงอายุวัยต้น (56-75 ปี)
ผู้สูงอายุตอนปลาย (75 ปี)
ทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกันทั้งกายภาพ และทางจิตสังคม ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตสังคมของผู้สูงอายุ 3 ระยะ ได้แก่
Ego differentiation and work-role preoccupation
เป็นความรู้สึก เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ โดยจะรู้สึกว่าตนยังมีคุณค่าอยู่ต่อเมื่อบทบาทลดลงหรือ เปลี่ยนไปจึงพอใจที่จะหาสิ่งอื่นๆ มาทำทดแทน (วัยสูงอายุตอนต้น)
Body transcendence and body preoccupation
เป็นความรู้สึกที่ผู้สูงอายุ ยอมรับว่าสภาพร่างกายของตนถดถอยลงและชีวิตจะมีสุขถ้าสามารถยอมรับและ ปรับความรู้สึกนี้ได้ (อายุที่เพิ่มขึ้น)
Ego transcendence and Ego preoccupation
เป็นความรู้สึกที่ยอมรับ กฏเกณฑ์และการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ และยอมรับความตายได้โดยไม่รู้สึกหวาดวิตก (วัยผู้สูงอายุตอนปลาย)
บุคคลที่มีการปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมได้ดี จะเป็นผู้ที่มีสภาพการดำเนินชีวิตที่เป็นสุข ส่งผลให้มีสุขภาพจิตดีกว่าผู้สูงอายุที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้
ทฤษฎีทางสังคมวิทยา (Sociological Theory)
ทฤษฎีบทบาท (Role theory)
บุคคลเข้าสู่วัยสูงอายุจะปรับบทบาทและสภาพต่างๆ หลายอย่างที่ ไม่ใช่บทบาทของตนมาก่อน เช่น การละทิ้งบทบาททางสังคม และ ความสัมพันธ์ซึ่งเป็นแบบวัยผู้ใหญ่ ยอมรับบทบาทของสังคมและ ความสัมพันธ์ในแบบวัยสูงอายุ และเว้นจากความผูกพันกับคู่สมรส เนื่องจากการตายไปของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทฤษฎีการถดถอยจากสังคม (Disengagement theory)
การหยุดบทบาทของตัวเอง อาจมีความสาเหตุจากความต้องการของตัวเอง หรือจากแรงกดดันของสังคม เช่นการเกษียณอายุการทำงาน การเจ็บป่วย และมีภาวะทุพพลภาพ
ผู้สูงอายุจึงหนีไม่พ้นที่จะถอนตัวจากสังคมโดยไม่เกี่ยวกับระบบสังคมแต่ อาจมีสาเหตุเนื่องจากความต้องการสืบต่อ การถ่ายทอด หรือความต่อเนื่อง โดยที่ผู้สูงอายุควรจะพ้นจากที่เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นหลังต่อไป
สิ่งแวดล้อมที่ดี ผู้สูงอายุได้รับการยอมรับ มีโอกาสได้แสดงบทบาททำให้เกิด ความพึงพอใจ ผู้สูงอายุจะเข้าสังคมมากกว่าถอยจากสังคม เช่น นักการเมือง อาจารย์อาวุโสในมหาวิทยลัย อาสาสมัครอาวุโสต่างๆ
การประยุกต์ใช้
เตรียมตัวก่อนเกษียณ และวางแผนการดำเนินชีวิตหลังเกษียณ
ทฤษฎีการมีกิจกรรมร่วมกัน (Activity theory)
ความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุเกิดจากการได้เข้ามามีส่วนร่วมใน กิจกรรมของสังคม ส่งเสริมการทำกิจกรรมต่อไป
ผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมสูง จะมีการปรับตัวได้ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม เป็นบุคคลที่สามารถดำรงกิจกรรมทางสังคมได้ดี
โดยปกติผู้สูงอายุจะปฏิเสธที่จะมีชีวิตในวัยสูงอายุ พยายามคงศักยภาพ วัยกลางคนไว้ให้นานที่สุด
สังคมควรจัดกิจกรรมที่เหมาะสมตามวัยและความสามารถ เช่น การใช้ กิจกรรมที่เน้นการใช้สติปัญญาและประสบการณ์มากกว่าใช้กำลังหรือแข่งขันความเร็ว
การประยุกต์ใช้
เข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามวัย
ทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต โดยเลือกกิจกรรมใหม่ๆ ที่
เหมาะสมกับข้อจำกัดของร่างกายตนเองหรือตามความชอบ และความสามารถที่มี
ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Continuity theory)
ยอมรับความเป็นเอกอัตตบุคคลของผู้สูงอายุ การคงไว้ซึ่งแบบแผน พฤติกรรมเช่นเดิมจะส่งเสริมให้บุคคลปรับตัวได้ดีเมื่อต้องเผชิญกับความ สูงอายุ
การประยุกต์ใช้
เข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุ
เข้าร่วมกิจกรรมในสังคม
Active Aging
ผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ (Self Care) พึ่งตนเองได้ (Self Reliance) ทำในสิ่งที่ปรารถนาได้ ตามศักยภาพของตน ทำประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคม มีความพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน และ เตรียมพร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง
(ศศิพัฒน์ ยอดเพชร)
กระบวนการที่เหมาะสมและเอื้อให้เกิดโอกาสในการพัฒนาสุขภาพ การมีส่วนร่วม
และความมั่นคงเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของบุคคลเมื่อสูงวัย
(WHO)
เป็นภาวะที่เข้าสูงวัยสูงอายุ ซึ่งยังมีความคล่องแคล่ว กระตือรือร้น สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
( บรรลุ ศิริพานชิ )
ผู้สูงอายุที่ทรงพลัง หรือเรียกพลังสนับสนุนส่งเสริม ให้ผู้สูงอายุเป็นผู้ทรงพลัง หรือ เรียกว่า “พฤฒพลัง” ตลอดไป จนถึงวาระสุดท้ายหรือความตายอย่างสงบ และปราศจากโรค
(เฉก ธนะสิริ)
องค์ระกอบ
ผู้สูงอายุที่ยังประโยชน์ (Productive Aging)
เป็นความสามารถในการพึ่งตนเองเท่าที่จะทำได้ของผู้สูงอายุและการใช้ความสามารถส่วนตัวในทาง สร้างสรรค์ ให้แก่ตนเอง ครอบครัว บุคคลอื่นๆและ สังคม ความหมายนี้เน้นแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์ และ เชิงสังคมวิทยาที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จ (Successful Aging)
เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับความพึงพอใจและความปรารถนาของตนเอง