Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 11 การจัดการปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน - Coggle Diagram
บทที่ 11 การจัดการปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
กรณีศึกษาที่1:ADHD ในชั้นเรียนระดับประถมศึกษา
อะไรคือสัญญาณบ่งบอกว่าผู้เรียนคนใดมีภาวะ ADHD?
จากการวินิจฉัยภาวะ ADHD (WHO, 1990) มีลักษณะ 3 ประการหลักที่บ่งบอกถึงภาวะ ADHD
1.การขาดความตั้งใจ
เด็กที่มีภาวะ ADHD จะมีความตั้งใจสั้นและสามารถหันเหความสนใจได้ง่ายดังตัวอย่างต่อไปนี้
มักประสบปัญหาในการจดจ่อกับงานหรือกิจกรรมที่ทำ
มักไม่ฟังเมื่อมีคนมาพูดคุยด้วยโดยตรง
มักไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและไม่สามารถทำงานที่โรงเรียนได้
มักทำสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานหรือกิจกรรมหาย
มักหันเหความสนใจไปตามสิ่งเร้าจากภายนอกได้ง่าย
มักหลงลืมเกี่ยวกับกิจกรรมที่ต้องทำประจำวัน
2.ความลุกลี้ลุกลน
ดังต่อไปนี้
มักไม่นั่งอยู่ประจำที่ในชั้นเรียน
มือและเท้ามักอยู่ไม่สุขและมักนั่งขยุกขยิกบนเก้าอี้
มักพูดคุยไม่หยุด
มักลนลานตลอดเวลาและทำตัวเหมือนว่าถูกขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์
มักสร้างสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
3.ความหุนหัน
มักจะประสบปัญหาในการรอคอย
มักโผล่งตอลออกมาก่อนที่จะฟังคำถาม
มักพูดแทรกผู้อื่น
ครูทำอะไรในชั้นเรียนได้บ้าง
กลยุทธ์ในการจัดการกับการหุนหัน
เตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียน
สนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวก
ตั้งกฎร่วมชั้นเรียน
กลยุทธ์ในการจัดการกับการลุกลี้ลุกลน
ให้ใช้พลังงานที่เหลือเฝื้อ
ปรับเปลี่ยนที่นั่ง
กลยุทธ์ในการจัดการกับการไม่ตั้งใจ
ให้ผู้เรียนเอาใจใส่กับงานที่ทำ
จัดที่นั่งให้ผู้เรียนได้นั่งใกล้ๆๆครู
ใช้การสอนทั้งแบบปากเปล่าและแบบเขียนบรรยายเป็นตัวหนังสือ
แบ่งงานให้นักเรียนทำออกเป็นชิ้นย่อยๆ
ให้ผู้เรียนทำงานหรือข้อสอบแค่ครั้งละ 1 แผ่น
ใช้วิธีให้เพื่อนนักเรียนเป็นบัดดี้
ปัญหาทางด้านพฤติกรรมและการเรียนรู้ของผู้เรียนที่วีภาวะ ADHD
การจัดการกับ ADHD
1.การศึกษาและการเข้าใจใน ADHD
2.การจัดการทางพฤติกรรม ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
3.การจัดการศึกษาที่เหมาะสม
4.การบำบัดทางการแพทย์ ในบ้างกรณี
อย่างน้อยร้อยละ 50 ของเด็กที่มีภาวะ ADHD
มีปัญหาเกี่ยวกับทักษะทางสังคม
อะไรเป็นสาเหตุให้เกิด ADHD
ADHD เป็นผลมาจากการปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
ของปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม ชีววิทยาและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งนำไปสู่ความไม่สมดุลทางเคมีในสมองที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของความสามารถในการตั้งใจได้
ร้อยละ 30 ของเด็กที่มีภาวะ ADHD
มีความผิดปกติทางด้านความวิตกกังวล
ร้อยละ 25 ของเด็กที่มีภาวะ ADHD
มีพฤติกรรมต่อต้านสังคมและกระทำความผิด
ร้อยละ 33 ของเด็กที่มีภาวะ ADHD
มีความรู้สึกหดหู่
นอกจากนี้เด็กมีภาวะ ADHD
ยังมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
ร้อยละ 90 ของเด็กที่มีภาวะ ADHD ไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำที่โรงเรียนได้
ร้อยละ 90 ของเด็กที่มีภาวะ ADHD ไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเรียนได้
ร้อยละ 20 ของเด็กที่มีภาวะ ADHD ประสบปัญหาในการอ่าน
ครูควรทำอย่างไรหากสงสัยว่าผู้เรียนในชั้นเรียนของครูมีภาวะ ADHD
ครูควรปรึกษาเรื่องนี้กับฝ่ายประสานงานด้านการเรียนรู้ (Learning Support Coordinator: LSC) หรือฝ่ายประสานงานสําหรับผู้เรียนที่ประสบปัญหา (Underachiever Coordinator: UAC) (MOE, 1999) หากปัญหานี้ยังคงอยู่ คุณควรนําไปปรึกษากับผู้ปกครองของผู้เรียนเพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนประสบปัญหา เช่นเดียวกันนี้ที่บ้านด้วยหรือไม่ หากยังแก้ปัญหาไม่ได้ ครูควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทําการวินิจฉัยสาเหตุต่อไป
ข้อสังเกตสำหรับการใช้การบำบัดทางการแพทย์
หากผู้เรียนได้เข้ารับการบําบัดทางการแพทย์ ครูจะต้องมีหน้าที่คอยสังเกตและสอดส่องดูแลผลลัพธ์ และประสิทธิภาพของการบําบัดทางการแพทย์นั้น โดยครูจะต้องให้ข้อมูลที่สําคัญแก่จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อตรวจสอบหาผลข้างเคียงจากการรักษาและปรับเปลี่ยนการรักษาในกรณีที่จําเป็น
กรณีศึกษาที่ 2: ผู้เรียนทีมีพฤติกรรมไม่เชื่อฟังในชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษา
เพราะเหตุใดผู้เรียนเหล่านี้จึงขาดแรงจูงใจในการเรียน?
นักเรียนที่ไม่ประสบความสําเร็จในการเรียนอยู่เป็นประจํามักเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวและโมโหซึ่งมักแสดง ออกมาในรูปของพฤติกรรมไม่เชื่อฟังและก้าวร้าว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจมีปัจจัยในครอบครัวมาเป็นสาเหตุ : ร่วมด้วยเช่น การขาดความอบอุ่นในครอบครัว การถูกพ่อแม่ทิ้งและรูปแบบในการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่เป็นไป
ในทางบังคับขู่เข็ญ (Patterson, DeBaryshe และ Ramsy, 1989, Simon และคณะ, 1991) ปัจจัยเหล่านี้ นําไปสู่การกระทําความผิด การฝ่าฝืนกฎระเบียบทางสังคมและการขาดแรงจูงใจในการพยายามเพื่อให้ประสบ ความสําเร็จทางการศึกษาหรือการปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน
เพราะเหตุใดการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในแก๊งอันธพาลจึงมีความสําคัญต่อพวกเขามาก?
การเข้าร่วมเป็นสมาชิกแก๊งอันธพาลทําให้ผู้เรียนเหล่านี้รู้สึกว่าตนเองมีค่าและมีอํานาจ พวกเขาจะ ต่อต้านการปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมและจะมองสิ่งที่ดีงามควรปฏิบัติว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี พวกเขาจะฝ่าฝืน กฎระเบียบและมีพฤติกรรมก้าวร้าว ปัจจัยทางโรงเรียนและครอบครัวเองก็มีส่วนทําให้พฤติกรรมเช่นที่ว่านี้ รุนแรงขึ้นได้เช่นกัน
เพราะเหตุใดพฤติกรรมของผู้เรียนในกลุ่ม(แก็ง)จึงแตกต่างจากผู้เรียนอยู่ตามลําพัง?
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางสังคมที่แตกต่างกัน พฤติกรรมและเจตคติของผู้เรียนจะแตกต่างกันออกไป เมื่อพวกเขาอยู่เพียงลําพังเขาจะคิดถึงการเป็นตนเองมากกว่าการเป็นสมาชิกแก๊งอันธพาล ดังนั้นผู้เรียนจึงไม่ แสดงพฤติกรรมและเจตคติที่ไม่เหมาะสมออกมา ในทางกลับกันเมื่อพวกเขาอยู่ในแก๊งอันธพาล พวกเขาจะมี เจตคติที่ต่อต้านสังคมซึ่งอาจแปรเปลี่ยนไปสู่พฤติกรรมการไม่เชื่อฟังและกระทําความผิดได้
ครูจะจัดการกับผู้เรียนที่ไม่เชื่อฟังอย่างไร
2.ระบุถึงการสำคัญตนที่ผิด
ปรีดา อารี และ สมใจ ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างผิดๆ พวกเขามักถูกผู้ปกครองดุด่าว่ากล่าวทั้งในเรื่อง ผลการเรียนและความประพฤติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้พวกเขาหันไปเข้าร่วมเป็นสมาชิกแก๊งอันธพาลเพื่อให้รู้สึกว่า นเองมีค่า ดังนั้นครูจึงต้องหาวิธีที่จะส่งเสริมความมีค่าในตนเองให้แก่พวกเขาในฐานะเป็นปัจเจกบุคคลมากกว่าเป็นสมาชิกแก๊ง ครูควรชี้ให้เห็นว่าคุณค่าของพวกเขามีความหมายต่อการเรียนเพียงใดโดยทําให้พวกเขาเกิดความ ใจในความสามารถของพวกเขาเองเช่น ความสามารถในการเป็นผู้นํา ความมีอารมณ์ขัน การตัดสินใจท เด็ดขาดและความสามารถในการแก้ปัญหา
4.ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ
ครูอาจช่วยพวกเขาให้ประสบความสําเร็จโดยเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และให้คําแนะนําที่เป็นเครื่อง ยืนยัน” ถึงความสําเร็จนั้นได้โดยชี้ให้เห็นความสําคัญของกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ - ให้คะแนนจากความพยายามของพวกเขามากกว่าจากผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งหัวข้อของงานที่มอบหมายให้ควรเป็น หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความสนใจในชีวิตประจําวันของพวกเขาเช่น วีดีโอเกม ดาราหรือฟุตบอล เป็นต้น
1.ใช้กลยุทธ์แบบตัวต่อตัว
ปรีดา อารี และ สมใจ มีพฤติกรรมไม่เชื่อฟังทั้งเวลาที่อยู่ในแก๊งและเวลาที่อยู่ตามลําพัง ใน สถานการณ์เช่นนี้ครูจะต้องสนับสนุนความเป็นกลุ่มของพวกเขาในเชิงบวก เช่น ตั้งชื่อกลุ่มหรือทําป้ายชื่อกลุ่ม ให้ ซึ่งจะทําให้พวกเขารู้สึกว่าได้เติมเต็มความต้องการของพวกเขาเอง
เมื่อใช้กลยุทธ์แบบตัวต่อตัว ครูจะต้องส่งเสริมความเป็นตัวบุคคลมากกว่าความเป็นแก้ง โดยครูอาจใช้ วิธีแบ่งปันความรู้สึกและความกังวลของตนเองร่วมกับผู้เรียน ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดคุยกับปรีดา ครูก็ควรพูดถึง เฉพาะตัวเขาเท่านั้นไม่ควรพูดถึงพฤติกรรมที่เขาทําร่วมกับอารี และ สมใจ ครูควรสนับสนุนให้เขาได้พูดถึง ความรู้สึกของตัวเขาเองและรับฟังเขาอย่างเข้าอกเข้าใจโดยไม่ตัดสินเขา
3.วางแผนการสอนให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน
ครจะต้องเข้าใจในธรรมชาติของผู้เรียนเพื่อที่จะได้สื่อสารในระดับที่ทําให้ผู้เรียนเข้าใจได้ ในขั้นแรก : ครไม่ควรพูดคุยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนอย่างเดียว แต่ควรชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องของความสนใจและ ความวิตกกังวลของพวกเขาด้วย
5.ติดต่อผู้ปกครองของผู้เรียน
ครูควรช่วยให้ผู้เรียนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง เมื่อพวกเขาประพฤติตัวดีหรือแสดงออกถึงความ พยายาม ครูก็ควรบอกเล่าการกระทําที่ดีๆเหล่านี้ให้ผู้ปกครอง ของพวกเขาได้รับทราบอยู่เสมอโดยอาจใช้วิธีส่ง SMS หรืออีเมลล์ตามความสะดวกก็ได้
6.ความรู้สึกส่วนตัวของครู
เมื่อครูถูกผู้เรียนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้ท้าทาย ยั่วเย้าหรือทําให้โกรธเพื่อทดสอบความจริงใจของครู ครูไม่ ควรแสดงอาการโกรธออกไป แต่ควรจะโต้ตอบอย่างสงบเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเรียนและแสดงให้ นักเรียนเห็นว่าความโกรธนั้นสามารถควบคุมได้ ในการรับมือกับนักเรียนเหล่านี้ ครูควรรักษาไว้ซึ่งคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
ความเป็นห่วงอย่างแท้จริงและความอบอุ่น
• ความเอาใจใส่
• ความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีของนักเรียน
ความอดทนและอดกลั้น ความบากบั่นและไม่ย่อท้อ
การควบคุมตนเอง
• อารมณ์ขัน