Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Closed fracture Interthochahateric of femur, นางสาวสุนันทา ภู่เพชร…
Closed fracture Interthochahateric of femur
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 80 ปี
U/D= HT เป็นมา 4 ปี
CC :ลื่นล้มก้นกระแทกพื้น เจ็บที่สะโพกซ้าย
1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
PI : 1 ชั่วโมง ลื่นล้มทางลาด ก้นกระแทกพื้น เจ็บที่สะโพกซ้าย ศีรษะไม่กระแทก ไม่สลบ ญาติจึงนำส่งโรงพยาบาล
พยาธิสภาพ
เป็นการหักระหว่าง greater และ lesser trochanters
พบได้ร้อยละ 50 ของกระดาษกระดูกหักบริเวณต้นขาส่วนบน
มีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะกระดูกพรุน
กลไกการบาดเจ็บ
ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุและมีภาวะกระดูกพรุน ประสบอุบัติเหตุล้มระหว่างเดิน และกระแทกพื้น
อาการแสดง
1.ขยับสะโพกไม่ได้เพราะปวด
2.ขาจะหดสั้นและบิดหมุนออก
เนื่องจากการหักเกิดขึ้นภายนอกข้อสะโพก
3.การบวม และรอยจํ้าเลือด บริเวณต้นขา
4.อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ หรือได้รับแรงกดที่บริเวณสะโพกซ้าย
6.เคลื่อนไหวแขนขาได้น้อย หรือเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
5.อวัยวะผิดรูป เช่น แขนหรือขาผิดรูป โดยแขนหรือขาจะงอ หรือหักบิดในลักษณะที่ผิดปกติ
การรักษา
เป็นการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เป็นเพียงการจัดกระดูกที่หักให้เข้าที่ตามเดิม โดยใช้อวัยวะนั้นอยู่นิ่งด้วยการใส่ Skin traction เพื่อดึงส่วนที่กระดูกหักให้อยู่ในตำแหน่งเดิมและช่วยลดอาการปวด การถ่วงน้ำหนักจะต้องนอนอยู่บนเตียง 2-3 อาทิตย์เพื่อรอให้กระดูกเกิดการเชื่อมและติดได้ด้วยตัวเอง
Skin traction
หมายถึง
การใช้แรงดึงบริเวณต้นขาโดยใช้น้ำหนักถ่วง
วัตถุประสงค์
1.เพื่อลดอาการปวด
2.เพื่อลดอาการบวมเนื่องจากการยกบริเวณที่ได้รับ
การดึงสูงกว่าระดับหัวใจ
3.เพื่อให้อวัยวะนั้นอยู่นิ่ง
4.เพื่อป้องกันและแก้ไขความพิการ
หลักการ Skin traction
3.Line of pull แนวการดึงต้องผ่านตำแหน่งที่กระดูกหักและเชือกต้องตึง
4.Continuous การดึงควรดึงตลอดเวลา
เพื่อให้กระดูกเข้าที่
2.Friction เป็นแรงเสียดทานซึ่งทำให้ประสิทธิภาพ
ของการดึงลดลง เช่น การมีปุ่มบนเชือก
5.Position คือการจัดทางให้อยู่ตามแนวของ Traction
1.Couter traction คือ การที่มีแรงต้านในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวดึงที่เข้า Traction
ภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ Skin traction
กล้ามเนื้อลีบ
แผลกดทับ
ข้อติดแข็ง
ข้อห้ามในการใส่ skin traction
มีแผลถลอกหรือแผลฉีกขาดของผิวหนังบริเวณที่จะใส่
มีการไหลเวียนโลหิต ของผิวหนังบริเวณนั้นไม่ดีนัก
เช่น Varicose
กระดูกเกยกันมาก ซึ่งจะต้องดึงด้วยน้้าหนักมาก ๆ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1.อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดึงถ่วงน้ำหนักแบบ Skin traction เช่น ข้อติดแข็ง กล้ามเนื้อลีบ แผลกดทับ
2.เสี่ยงต่อการเกิดCompartment syndrome เนื่องจากถูกจำกัดการเคลื่อนไหวโดยการพันผ้า
3.เกิดแผลกดทับเนื่องจากเคลื่อนไหวร่างกายน้อย
4.ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดกระดูกสะโพกข้างซ้ายหัก
5.ผู้ป่วยมีภาวะพร่องสุขวิทยาส่วนบุคคลเนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายส่วนล่างและปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้
1.อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดึงถ่วงน้ำหนักแบบ Skin traction เช่น ข้อติดแข็ง กล้ามเนื้อลีบ แผลกดทับ
ข้อสนับสนุน
S = ผู้ป่วยบอกว่าไม่เข้าใจการปฏิบัติตัวในการใส่Skin tractionที่ขาข้างซ้าย
S=ผู้ป่วยชอบนอนตามสบายไม่ถูกท่าของการใส่ Skin tractionที่ขาข้างซ้าย
O= ผู้ป่วยชอบขยับรุนแรงจนทำให้เชือกที่ดึงถ่วงน้ำหนักตกรอก
วัตถุประสงค์
ป้องกันอาการแทรกซ้อนและส่งเสริม
การใส่ Skin traction ให้มีประสิทธิภาพ
กิจกรรมการพยาบาล
2.ดูแลให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่สุขสบายและอยู่ในแนวเดียวกับกระดูกที่หักตามหลัก Line of pull เพื่อให้ดึงของSkin traction มีประสิทธิภาพ
3.ดูแลการยกปลายเท้าให้สูงกว่าลำตัว เป็นการใช้แรงต้านในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวดิ่งที่เข้า traction เพื่อให้เกิดการถ่วงน้ำหนักได้ดี และตัวผู้ป่วยต้องไม่เลื่อนลงมาชิดขอบเตียงศีรษะไม่เลื่อนขึ้นไปชิดขอบหัวเตียง
4.ดูแลไม่ให้ลูกตุ้มน้ำหนักแตะขอบเตียง หรือติดพื้น ไม่ให้มีปุ่มปมบนเชือก เชือกที่ใช้ดึงไม่ตกรางรอก และเคลื่อนที่ไปมาบนรางรอกได้สะดวก หากมีแรงเสียดทานเกิดขึ้นจะทำให้ประสิทธิภาพการดึงถ่วงน้ําหนักลดลง
5.แนวการดึงต้องผ่านตำแหน่งที่กระดูกหัก เชือกที่ดึงต้องตึงและเหนียวพอที่จะทานน้ำหนักที่แขวนได้ นิยมใช้เชือกไนลอน เชือกไม่ขุ่ยเพราะถ้าเชือกขาดจะทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออาจทำให้เกิดรอยแตกหักของกระดูกซ้อนเกยกันใหม่ทำให้ผู้ป่วยปวดมากขึ้น
6.ควรดึงถ่วงน้ำหนักตลอดเวลา ไม่ควรปลดตุ้มน้ำหนักออกโดยไม่มีแผนการรักษาของแพทย์เพราะการเอาน้ำหนักออกจะทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างกะทันหัน ทำให้กระดูกที่หักหดเข้าหากัน ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงและเป็นอันตรายได้
หากจะปรับควรปลดอย่างช้าๆและนุ่มนวล
7.กระตุ้นให้ผู้ป่วยออกกำลังกายแบบ Passive exercise ทั้งส่วนที่เข้า traction และเคลื่อนไหวข้ออื่นๆที่ไม่ได้เข้า traction เพื่อป้องกันข้อติด กล้ามเนื้อลีบ และสอนให้ทำ breathing exercise เพื่อป้องกันปอดอักเสบ
1 ประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยตามหลักSkin traction
2.เสี่ยงต่อการเกิดCompartment syndrome เนื่องจากถูกจำกัดการเคลื่อนไหวโดยการพันผ้า
สาเหตุ
1 การบีบรัดแน่นของการพันผ้า
การได้รับบาดเจ็บแบบบดขยี้
การได้รับบาดเจ็บของกระดูกสามารถพบได้ในทุกส่วนของร่างกาย
4.การได้รับบาดเจ็บที่ก่อให้เกิดอาการบวม
เช่น ไฟไหม้ งูกัดไฟฟ้าดูด เป็นต้น
5 การถูกจำกัดการเคลื่อนไหว โดยการใส่เฝือกหรือพันผ้า
Compartment syndrome
คือภาวะแรงดันในช่องกล้ามเนื้อเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลสนับสนุน
O=ผู้ป่วยถูกจำกัดการเคลื่อนไหว โดยการพันผ้า
O=ผู้ป่วยได้รับการบาดเจ็บของกระดูก
O=ผู้ป่วยมีอาการปวด บริเวณสะโพกซ้ายpain score 7
กิจกรรมการพยาบาล
1 ประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยในเรื่อง Compartment syndrom โดยใช้แบบประเมิน หลัก 6 P
2 สังเกตอาการปวด เช่น การเหยียดกล้ามเนื้อ การให้ดันนิ้วเท้าของผู้ป่วยเข้าหากัน
3 สังเกตอาการซีดเย็นซึ่งเป็นอาการที่บ่งบอกว่าอวัยวะบริเวณที่อยู่ต่ำกว่าอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ
4 ประเมินชีพจรบริเวณส่วนปลายของอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ โดยประเมินจาก capillary refill
โดยการทำ Blanching test คือการใช้นิ้วกดที่ปลายนิ้วมือหรือนิ้วเท้าของผู้ป่วยสีเล็บจะซีดแต่เมื่อปล่อยที่กดออกเล็บที่ถูกกดจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูทันทีแสดงว่าการไหลเวียนกลับของโลหิตดีแต่ถ้าปล่อยมือที่กดเล็บมือหรือเล็บเท้าออกแล้วและยังคงซีดเหมือนเดิม หรือการไหลเวียนกลับช้าซึ่งค่าปกติไม่ควรเกิน 2 วินาทีถ้ามากกว่า 4 วินาทีแสดงว่าการไหลเวียนโลหิตไม่ดีอันเนื่องมาจากหลอดเลือดแดงถูกทําลาย หลอดเลือดถูกบีบรัด ควรรายงานแพทย์
5 อาการชา ประเมินจากการสัมผัสบริเวณต้นขา ส่วนต้นและส่วนปลายของอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บโดยอาจพบอาการสัมผัสลดลงไวต่อการกระตุ้นรู้สึกซู่ซ่าชาหรือสูญเสียการสัมผัส
6 ประเมินการอัมพาตอาการอัมพาตจะเป็นผลมาจากเส้นประสาทถูกทำลายกล้ามเนื้อที่ขาดเลือดไปเลี้ยงมักจะถูกยืดขยาย โดย สังเกตการหยุดเคลื่อนไหวของร่างกายการกางออกของนิ้วมือนิ้วเท้าของผู้ป่วย
7.สังเกตอาการบวมบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่สิ่งที่เป็นผลมาจากความผิดปกติของระบบประสาทและหลอดเลือดเสมอไปแต่เป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการธรรมชาติของผู้ป่วย
ที่เกิดจากการพันผ้าอาจทำให้บวมได้ การคายผ้าให้หลวมจึงสามารถบรรเทาอาการปวดบวมได้
วัตถุประสงค์ การเกิดCompartment syndrome
3.เกิดแผลกดทับเนื่องจากเคลื่อนไหวร่างกายน้อย
ข้อมูลสนับสนุน
S=นอนบนเตียงเป็นเวลานาน
S=ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายน้อยแล้วก็
S=ผิวหนังก้นมีรอยแดง
วัตถุประสงค์ ไม่เกิดแผลกดทับเพิ่มขึ้น
กิจกรรมการพยาบาล
1 ประเมินแผลกดทับอย่างต่อเนื่องตามแบบแผนการประเมินระดับแผลกดทับอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจในเรื่องการ 2.ดูแลแผลกดทับและสาเหตุและการป้องกัน
3.ถามให้ผู้ป่วยนอนในที่นอนนุ่มเพื่อลดแรงกดดัน และดูแลให้นอนในท่าที่ถูกต้องพร้อมกับพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง
4.สาธิตให้ปฏิบัติตาม เมื่อดูแลเปลี่ยนผ้าปูที่นอน แต่งภาพหลังให้ตึงเรียบ และสะอาดปราศจากฝุ่นละออง
เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง
5.แนะนำให้ญาติดูแลผิวหนังของผู้ป่วย ไม่ให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอถ้าอากาศร้อนควรเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าบ่อยๆเพื่อลดแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนัง
6.แนะนำให้ญาติดูแลผิวหนังของผู้ป่วย ไม่ให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอถ้าอากาศร้อนควรเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าบ่อยๆเพื่อลดแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนัง
แผลกดทับ หมายถึง บริเวณที่มีเนื้อตายของเซลล์และเนื้อเยื่อจากการขาดเลือดอันเป็นผลมาจากการถูกกดทับเป็นเวลานานๆ
ระดับของแผลกดทับมี 4 ระดับ
ระดับที่ 1 ผิวหนังยังคงสภาพเดิมมีรอยแดงมักจะเกิดบริเวณเหนือปุ่มกระดูกใช้นิ้วกดแล้วปล่อยรอยแดงไม่จางหาย
ระดับที่ 2 ผิวหนังชั้นกำพร้าถูกทำลายบางส่วนเป็นแผลตื้นๆแผลสีชมพูแดงไม่มีเนื้อตายหรือมีตุ่มน้ำ
ระดับที่ 3 ผิวหนังถูกทำลายน้ำเข้าไปชั้นใต้ผิวหนังแต่ไม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อแผลเป็นอ่างแอ่งลึก
ระดับที่ 4 มีการทำลายเนื้อเยื่อทั้งหมดจนถึงชั้นกล้ามเนื้อเห็นกระดูกเอ็นหรือข้อต่อเนื้อตายจะมีสีเหลืองป่วยยุ้ยหรือสี
4.ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดกระดูกสะโพกข้างซ้ายหัก
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นอาการปวดลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
s=ผู้ป่วยลื่นล้มกระดูกหักบริเวณสะโพกข้างซ้ายหักแบบปิด
s=ผู้ป่วยบ่นว่า Pain scales 7
O=สีหน้าไม่ยิ้มแย้ม
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการความรุนแรงของการตรวจโดยใช้แบบประเมิน NRS คือการให้คะแนนระดับความปวด
0 =ไม่ปวดเลย
1-3 =ปวดน้อย
4-7 ปวดปานกลาง
8-10 ปวดมาก
2.การดูแลให้ยาแก้ปวดเมื่อจำเป็นต้องตามการรักษาของแพทย์
3 ดูแลให้นอนพักผ่อนบนเตียงอย่างเพียงพอ
4.ยกวาง อวัยวะที่เป็นให้สูงกว่าระดับหัวใจเพื่อให้การไหลเวียนโลหิตดีไม่เกิดการคั่งของเลือดที่อวัยวะส่วนปลายซึ่งจะทำให้มีผลต่อการจับตรวจได้
5.แนะนำให้เคลื่อนไหวร่างกายให้ถูกต้องเพื่อลดอาการปวด
6.แนะนำเทคนิคหรือวิธีที่ช่วยให้มีการผ่อนคลายเช่นคิดแง่บวกหายใจเข้าลึกๆ เจ็บพูดคุยและสัมผัสอ่อนโยนให้การพยาบาลที่นุ่มนวล
5.ผู้ป่วยมีภาวะพร่องสุขวิทยาส่วนบุคคลเนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายส่วนล่างและปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้
ข้อมูลสนับสนุน
S = ผู้ป่วยบอกว่าเวลาลุกจากที่นอนหรือจะจากเตียงต้องมีคนช่วยเหลือ
S =ผู้ป่วยบอกว่าไม่สามารถใส่เสื้อผ้าได้ด้วยตนเอง
S=ผู้ป่วยบอกว่าเวลาขับปัสสาวะจะต้องมีคนช่วย
O=กระดูกหัก ใส่ Skin tractionที่ขาข้างซ้าย
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
โดยใช้แบบประเมิน ADL
2.ดูแลการทำความสะอาดปากและฟัน
เพื่อลดแบคทีเรียในช่องปาก
3.การดูแลทำความสะอาดผมเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่นเพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายหนังศีรษะ
4.การดูแลผิวหนัง เพื่อ ช่วยลดการติดเชื้อได้ง่าย
5.การอาบน้ำเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตตามส่วนต่างๆของร่างกายช่วยให้ผู้ป่วยสดชื่นสุขสบายและคลายเครียด
6.ดูแลแบบแผนการขับถ่ายของผู้ป่วย แนะนำผู้ดูแลให้ดูแลความสะอาดของผู้ป่วย
7.ดูแลแบบแผนการพักผ่อนนอนหลับของผู้ป่วยแนะนำให้นอนหลับอย่างเพียงพอและจัดหาที่นอนนุ่มๆจัดหาสถานที่ ให้ผู้ป่วยนอนในที่โล่งอากาศถ่ายเทสะดวก
8.แนะนำและสอนผู้ดูแลในด้านการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเช่น การลุกนั่ง
9.การส่งเสริมทักษะกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมใน
การปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
ควรเปลี่ยนผ้าปู ทุกครั้งเมื่อมีการปนเปื้อน
เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
วัตถุประสงค์
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีสุขวิทยาส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นและปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้
วินิจฉัย
เอกซเรย์ (X-Ray)
ภาพรังสี
การหักของกระดูกมี 2 แบบ
Closed fracture คือกระดูกหักที่ผิวหนังไม่มีแผลเปิดออกเพราะไม่มีกระดูกที่หักแทงทะลุผิวหนังออกมา
open fracture คือ กระดูกหักที่ผิวหนังมีแผลเปิดออกเพราะกระดูกที่หักแทงทะลุผิวหนังออกมา
ผลการตรวจห้องปฏิบัติการ
Hematocrit ต่ำ
ค่าปกติ 35-44 %
ค่าที่ได้ 33%
เกิดจากผู้ป่วยอยู่ในวัยผู้สูงอายุทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงได้ในขนาดที่เล็กลง หรือได้จำนวนน้อยลง ซึ่งย่อมมีผลโดยตรงทำให้ค่า Hct ต่ำลงกว่าปกติ
K ต่ำ ค่าปกติ 3.8-5.5 mol/l ค่าที่ได้ 3.29 mol/l เกิดจากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง อาจทำให้ร่างกายสูญเสียโพแทสเซียมปริมาณมากได้จนทำให้ K ต่ำ
NA ต่ำ ค่าปกติ 135-145 mol/l ค่าที่ได้ 132.50 mol/l เกิดจากการสูญเสียของเหลว และอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย เนื่องจากผู้ป่วยได้รับการบาดเจ็บจากกระดูกสะโพกหัก
Cl ต่ำ ค่าปกติ 98 -108 mol/l
ค่าที่ได้ 107 mol/l เกิดจากอาจเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนขับน้ำออกจากร่างกาย (SIADH) จึงทำให้คลอไรด์ในเลือดเจือจางลง
และผู้ป่วยมีอาการอาเจียนส่งผลทำให้ Cl
CO 2 สูง ค่าปกติ 21-28 mol/l
ค่าที่ได้ 30.79 mol/l เกิดจากการที่ร่างกายขาดน้ำ ผู้ป่วยดื่มน้ำน้อย ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องทำให้คลอไรด์ในเลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น
นางสาวสุนันทา ภู่เพชร เลขที่ 84 ห้อง B