บทที่ 4 การพยาบาลมารดา
และทารกในระยะคลอด

4.1.5 กลไกการคลอด การทำคลอดรก การตรวจรก

การช่วยคลอดศีรษะ

การช่วยคลอดไหล่

กลไกการคลอดปกติ
(Mechanism of normal labor)

  1. Internal rotation
  1. Extension หรือ Birth of the fetal part
  1. Flexion
  1. Restitution

7.External rotation

  1. Descent
  1. Expulsion
  1. Engagement

ลำดับของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวทารกขณะเคลื่อนผ่านช่องเชิงกรานออกมาสู่ภายนอกมีลำดับของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน 8 ขั้นตอน ดังนี้

การตัดสายสะดือ

1.1 Molding

1.2 Asynctitism

เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของศีรษะทารกเพื่อให้ขนาดเล็กลง

เป็นการตะแคงศีรษะผ่านลงสู่ช่องเชิงกราน

การที่ศีรษะทารกเคลื่อนต่ำลงไปในช่องเชิงกรานเกิดจากแรงดันของน้ำคร่ำ การหดรัดของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้องมดลูกและการยืดยาวออกของลำตัวทารกจาก fetal axis pressure

การก้มศีรษะทารกจนคางชิดกับหน้าอก ให้ส่วนนำของทารกเปลี่ยนจากเส้นผ่านศูนย์กลาง Occipitofrontal (OF) กว้างประมาณ 12 เซนติเมตร มาเป็น suboccipitobregmatic (SOB) กว้างประมาณ 9.5 เซนติเมตร การคลอดจึงเป็นไปได้ง่ายขึ้น

การหมุนของศีรษะภายในช่องเชิงกรานให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับช่องออกเชิงกรานมากที่สุด ดังนั้นเวลาออกทารกต้องหมุนท้ายทอยไปทางด้านหน้า (occiput anterior : OA) เพื่อให้แนวต่อแสกกลางอยู่ในแนวหน้าหลัง (anterior posterior)

การที่ศีรษะรกเงยหน้าผ่านพ้นช่องทางคลอดออกมาภายนอกโดยเมื่อมีการหมุนของศีรษะทารกแล้ว

การหมุนกลับของศีรษะทารกภายนอกช่องคลอดเพื่อสัมพันธ์กับส่วนของทารกที่อยู่ภายในช่องทางคลอด 45 องศา

การหมุนของศีรษะทารกภายนอกช่องคลอด 45 องศา เพื่อให้ศีรษะและไหล่ตั้งฉากกันตามธรรมชาติภายหลังจากเกิดการหมุนภายในของไหล่ (internal rotation of shoulder)

การขับเคลื่อนเอาตัวทารกออกมาทั้งหมด ได้แก่ การคลอดไหล่ ลำตัว และแขนขาของทารก

นิยมช่วยทำคลอดแบบ Modified Ritgen's maneuver คือใช้มือที่ถนัดประคองฝีเย็บเพื่อป้องกันการฉีกขาด ส่วนอีกมือช่วยกดศีรษะทารกไปทางทวารหนักให้เงยช้าๆเมื่อศีรษะทารกเงยขึ้นก็ให้รูดฝีเย็บผ่านหน้าทารกลงไปใต้คาง

ใช้ฝ่ามือทั้งสองจับประคองแนบข้างศีรษะทารกบริเวณใต้ขมับทั้งสองดึงลงอย่างนุ่มนวลตามแนวทิศทางของช่องเชิงกรานเมื่อไหล่บนถึงรักแร้ให้หยุดดึงลงแล้วดึงศีรษะทารกขึ้นในทิศทาง 45 องศากับแนวระดับจนเห็นไหล่ล่างคลอดออกมาดึงต่ออย่างช้าๆจนคลอดหมดตัว

ใช้ Cord clamp หรือ Arterial forceps2 ตัวจับสายสะดือโดยตัวแรกจะใส่วงยางวงเล็กรัดสะดือไว้ที่จุดหมุนของ clamp ตัวแรกจับห่างทารกประมาณ 2-3 เซนติเมตรหรือ 2 นิ้วมือ ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับ clamp ตัวแรกไว้กับตัวทารกมือข้างที่ถนัดจับสายสะดือรูดเลือดออกห่างจาก clamp ตัวแรกประมาณ 1 ฝ่ามือใช้clamp ตัวที่ 2 จับสายสะดือที่รีดเลือดแล้วไว้ต่อมาใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับสายสะดือ

การทำคลอดรกและการตรวจรก

Vulva sign

Cord sign

Uterine sign

หลังจากที่ทารกคลอดระดับยอดมดลูกจะเคลื่อนตามลงมาอยู่ต่ำกว่าสะดือเล็กน้อยเมื่อรกลอกตัวแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างมดลูกจากลักษณะยาวรี (Discoid) เป็นกลมขึ้น

ถ้ารกลอกตัวแบบ Duncan คือ ลอกจากขอบๆจะมีเลือดออกทางช่องคลอดให้เห็นแต่ถ้ารกลอกตัวแบบ Schultz คือลอกตัวตรงกลางก็อาจจะไม่มีเลือดออกมาให้เห็นแต่เมื่อรกลงมาอยู่ที่มดลูกส่วนล่างแล้วก็อาจมีเลือดออกแบบทันทีทันใดก็ได้

ชีพจรที่สายสะดือจะหายไปอาจจะทดสอบโดยโกยมดลูกขึ้นข้างบนถ้ารกลอกตัวและลงมาอยู่ส่วนล่างของมดลูกจริงสายสะดือจะไม่เคลื่อนกลับเข้าไปในช่องคลอดขณะโกยมดลูก

การทำคลอดรก

ให้คลอดเองตามธรรมชาติ(Spontaneus)

ผู้ทำคลอดช่วยทำคลอดรก

โดยให้แม่เบ่งออกมาแต่ส่วนมากผู้ทำคลอดจะช่วยเหลือร่วมด้วยเสมอด้วยการใช้มือช่วยกดดันที่ยอดมดลูกเพียงเล็กน้อย

1) Modified Crede's maneuver

2) Brant-Andrews maneuver

3) Control cord traction

การตรวจรก

ถุงน้ำคร่ำมี 2 ชั้นคือ Chorion และ Amnion ควรมีรูเปิดเพียง1 รูที่เป็นทางออกของทารก

เนื้อรกตรวจดูทั้ง2 ด้านด้านทารกจะมีเยื่อChorionปกคลุมเห็นเป็นสีเทาจะเห็นเส้นเลือดทอดออกจากสายสะดือ เนื้อรกด้านมารดาเหมือนเปลือกลิ้นจี่ลักษณะเป็นก้อนๆเรียก Cotyledon จะมีประมาณ 15-20 ก้อนถ้าเนื้อรกขาดเลือดไปเลี้ยงจะเป็นแผลเป็นเรียก Infarction แต่ถ้ามีแคลเซียมมาจับเรียกว่า มีCalcification

สายสะดือปกติจะมีVein 1 เส้นและartery 2 เส้นและควรตรวจดูว่าสายสะดือมีปมต่างๆหรือไม่

4.1.6 การฉีก การตัดและการเย็บซ่อมฝีเย็บ

ชนิดของการตัดฝีเย็บ

หลักการตัดฝีเย็บ (Episiotomy)

การเย็บซ่อมแผลฝีเย็บ

ประเภทแผลฉีกขาดของฝีเย็บ

Second degree lacerations

Third degree lacerations

First degree lacerations

Fourth degree lacerations

มีความเสียหายต่อ skin และ subcutaneous tissue ของฝีเย็บและ เยื่อบุช่องคลอด เท่านั้นโดยไม่มีความเสียหายต่อกล้ามเนื้อของฝีเย็บ

มีความเสียหายต่อ fascia และ muscle ของ perineal body ซึ่งประกอบไปด้วย deep/superficial transverse perineal muscles และ fibers of the pubococcygeusและ bulbocavernosus musclesโดยไม่มีความเสียหายต่อกล้ามเนื้อหูรูดรูทวาร

มีความเสียหายต่อ fascia และ muscle ของ perineal body และ บางส่วนหรือทั้งหมด ของ fibers ของ External anal sphincter และ Internal anal sphincter

ความเสียหายต่อโครงสร้างของฝีเย็บทั้งหมด (External anal sphincter และ Internal anal sphincter และ rectal mucosa)

ถ้าตัดช้าไปฝีเย็บก็จะปริหรือฉีกขาดเสียก่อน

ควรตัดฝีเย็บในรายผู้คลอดครรภ์แรกหรือครรภ์หลังที่เคยได้รับการตัดฝีเย็บมาแล้ว

ถ้าตัดฝีเย็บเร็วเกินไปส่วนนำยังไม่ช่วยกดแผลจะทำให้เสียเลือดมาก

ตัดฝีเย็บให้ช่องทางคลอดกว้างขึ้นในรายที่ทารกคลอดในท่าท้ายทอยอยู่ด้านหลังของเชิงกราน (Occiput Posterior Position : OPP)

ควรตัดเมื่อศีรษะทารกคาอยู่ที่ฝีเย็บเห็นฝีเย็บตึงเป็นมัน

ตัดรายที่จะต้องทำสูติศาสตร์หัตถการรายที่คลอดท่าก้นหรือคลอดก่อนกำหนด

Median episiotomy

Medio-lateral episiotomy

Lateral episiotomy

ตัดตรงจากรอยต่อของแคมไปทางรูทวารหนัก

ตัดเฉียงจากรอยต่อของแคมไปทางด้านข้างทำมุม 45 องศากับแนวตรง

ตัดจากรอยต่อของแคมไปทางด้านข้างทำมุม 90 องศากับแนวตรงซึ่งไม่เป็นที่นิยมเพราะตัดใยกล้ามเยื้อมากแม่เจ็บมากและเย็บยาก

  1. ควรตรวจเผื่อหามุมของแผลฉีกขาดของช่องคลอดทุกครั้ง
  1. ตรวจหาความเสียหายต่อหูรูดและเยื่อบุของทวารหนัก
  1. หากผู้ป่วยมีความเจ็บปวดมากอาจให้ยาระงับปวดก่อนทำการตรวจและเย็บแผล
  1. การเย็บจะเริ่มต้นจากการเย็บ vaginal epithelium มาชนกัน โดยต้องระมัดระวังการเย็บให้ครอบคลุมเนื้อเยื่อใต้แผลทั้งหมดโดยการเย็บควรเริ่มต้นเหนือจากบริเวณมุมของการฉีกขาดของช่องคลอด ด้วยวิธี continuous non-locking sutures หรือ continuous locking sutures
  1. ตรวจดูความเสียหายและจุดเลือดออกของบริเวณฝีเย็บ ช่องคลอด และรูทวาร โดยการดูและการสัมผัส
  1. โดยการเย็บนั้นจะใช้ hymenal ring เป็นจุด anatomical landmark เมื่อทาการเย็บจากมมุ แผลด้านในมาถึงบริเวณ hymen แล้วจึงเย็บต่อลงมาที่บริเวณ perineal body และ bulbocavernosus muscle สองด้านเข้าหากันโดยควรเย็บmuscleทั้งสองด้านให้ตรงพอดีกันเพื่อให้ได้มุมแผลที่พอดีและลดความตึงของการเย็บ

4.1.7 การพยาบาลในระยะที่ 1-4 ของการคลอด

การพยาบาลในระยะที่ 2

การพยาบาลในระยะที่ 3

การพยาบาลในระยะที่ 1 ระยะเจ็บครรภ์

การพยาบาลในระยะที่ 4

  1. ดูแลให้พักผ่อนได้เต็มที่ สอนและดูแลให้การหายใจเพื่อบรรเทาอาการปวด การนวดเพื่อบรรเทาปวดระยะคลอด

ปากมดลูกเปิด 10 cm. รู้สึกอยากเบ่ง/อยากถ่ายอุจจาระเพราะส่วนนำของทารกมากดที่ประสาทรอบๆ Rectum มี Mucous bloody show มากขึ้น ฝีเย็บโป่งหรือรูทวารหนักเปิดถ้าถุงน้ำยังไม่แตกถุงน้ำมักจะแตกเองในช่วงแรกของระยะที่สองนี้

  1. ตรวจว่ามีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะหรือไม่ถ้ามีให้สวนทิ้ง และคลึงยอดมดลูก เพื่อกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวป้องกันการตกเลือด
  1. ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่างเพราะการมีปัสสาวะค้างอยู่ก็จะทำให้ดึงรั้งมดลูกมีผลให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดีเกิดการตกเลือดหลังคลอดได้
  1. ในระยะ Latent phase ให้ดื่มอาหารเหลวได้ และเริ่ม NPO ระยะ Active phase
  1. สร้างสัมพันธภาพให้ข้อมูลที่สำคัญ เพื่อลดความกลัว ความเครียด และให้กำลังใจตอบคำถามที่ผู้คลอดสงสัยเพื่อให้ผู้คลอดคลายความเครียด
  1. ดูแลความสุขสบายของผู้คลอดช่วยลดความเจ็บปวดในการคลอดพยาบาลควรอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิดนวดหลังให้
  1. ถ้าปากมดลูกเปิด ≤ 7 ซม. ครรภ์แรก และ ≤ 5 ในครรภ์หลังอาจประเมินให้สวนอุจจาระได้ถ้าไม่มีประวัติคลอดเร็ว
  1. ทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอดทั้งก่อนและหลังการตรวจภายในรวมทั้งหลังถ่ายอุจจาระ/ปัสสาวะให้สะอาด บางรายมีมูกเลือดหรือมีน้ำเดินทำให้รู้สึกเปียกแฉะ พยาบาลควรดูแลให้ผู้คลอดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
  1. ตรวจภายในหาก BISHOP score ≥ 8 ต้องรับไว้ให้นอนรอคลอด
  1. แนะนำผู้คลอดให้ถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้นคลำท้องน้อย เพื่อตรวจสภาพกระเพาะปัสสาวะ
  1. ซักประวัติและศึกษารายงานการฝากครรภ์โดยละเอียดเพื่อทราบประวัติความเป็นมาของการตั้งครรภ์

  1. วัดสัญญาณชีพตรวจเช็คความดันโลหิตชีพจรการหายใจและอุณหภูมิกายทุก 2-4 ชั่วโมงแต่รายที่มีภาวะแทรกซ้อน
  1. ประเมินสภาพทารกในครรภ์ฟังเสียงหัวใจทารก ระยะ Latent phase ควรฟัง FHS ทุก 30 นาที เฝ้าระวังภาวะ Fetal distress เมื่อเข้า Active phase ฟัง FHS ทุก 15 นาทีนาน 1 นาทีเต็ม และบันทึกจังหวะว่าสม่ำเสมอหรือไม่หรือใช้ Electro fetal monitoring (EFM) ชนิดภายนอก (External) ติดที่หน้าท้องมารดา
  1. กรณีมีน้ำเดินต้องสังเกตสี กลิ่น ลักษณะจำนวนน้ำคร่ำที่ออกมา ในรายที่ถุงน้ำคร่ำแตกต้องใส่ผ้าอนามัย บันทึกเวลาที่ถุงน้ำแตกทุกรายเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อในระยะคลอด ภาวะแทรกซ้อน/ทารกท่าศีรษะแต่มีขี้เทาในน้ำคร่ำต้องฟังบ่อยขึ้น
  1. ตรวจภายในประเมินความก้าวหน้าการคลอดตามความจำเป็นหรือทุก 4 ชั่วโมง บันทึกผลการประเมินความก้าวหน้าของการคลอดและสัญญาณชีพ ยาที่ให้ลงใน Partograph
  1. ครรภ์แรกย้ายเข้าห้องคลอดเมื่อปากมดลูกเปิด 9 -10 cm. ครรภ์หลังย้ายเมื่อปากมดลูกเปิดประมาณ 8 cm. หรืออาจพิจารณาตามประวัติการคลอดและผลการตรวจ PV
  1. บันทึกการหดรัดตัวของมดลูกทุก 15 นาทีโดยสังเกตการหดรัดตัวของมดลูกด้วยการคลำหน้าท้องบริเวณยอดมดลูกให้จับเวลาตั้งแต่มดลูกเริ่มหดรัดตัวจนกระทั่งเริ่มคลายตัวในแต่ละรอบบันทึกเป็น Duration และบันทึกความรุนแรงของการหดรัดตัว (Intensity) ความถี่ของการหดรัดตัว (Interval)
  1. วัดสัญญาณชีพผู้คลอด ทุก 15 นาที หรือถี่กว่านี้ในรายที่มีความผิดปกติควรติดเครื่อง monitor
  1. การตรวจภายในซ้ำจะทำเมื่อถุงน้ำแตก (ควรตรวจภายในและฟังเสียงหัวใจทารกทันทีเพราะสายสะดืออาจถูกกดได้) และเมื่อมีอาการบ่งชี้ว่าเข้าสู่ระยะที่ 2 ของการคลอดควรตรวจดูว่าปากมดลูกเปิดหมดจึงจะให้เริ่มเบ่งได้ป้องกันปากมดลูกบวมจะทำให้ช่องทางคลอดแคบคลอดลำบาก
  1. ตรวจและบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจทารกในรายที่ไม่มีความผิดปกติใดๆ ฟังการเต้นของหัวใจทารก ระหว่าง 110-160 ครั้ง/นาที และจังหวะสม่ำเสมอแสดงว่าทารกปกติ
  1. การดูแลการเคลื่อนต่ำของส่วนนำทารกโดยสังเกตอาการหรืออาการแสดงต่างๆคือ
  1. การเตรียมผู้คลอด
  1. ทำการช่วยคลอดทารก

ต่ำแหน่งที่ฟังเสียงหัวใจทารกได้ชัดเจนจะเคลื่อนต่ำลงและเลื่อนเข้าสู่กึ่งกลางลำตัวแม่

Perineal test ใช้นิ้วกดสองข้างทวารหนักกับ Ischial tuberosities ถ้าหัวเด็กลงมาต่ำก็จะสามารถคลำได้

ตรวจด้วย Third maneuver of Leopoldถ้าหัวลงต่ำจะคลำไม่ได้จะคลำได้ไหล่แทน

สังเกตบริเวณฝีเย็บถ้าฝีเย็บโป่งตึงผิวหนังเป็นมันปากช่องคลอดอ้าเล็กน้อยรูทวารหนักเปิด

ให้ผู้คลอดอยู่ในท่านอนหงายชันเข่า

ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและบริเวณทวารหนัก

คลุมผ้าสะอาดที่นึ่งฆ่าเชื้อโรคแล้วแก่ผู้คลอด

ถ้ากระเพาะปัสสาวะโป่งให้สวนปัสสาวะก่อน

  1. ตรวจดูการฉีกขาดของช่องทางคลอด ควรตรวจดูการฉีกขาดของผนังช่องคลอด รวมทั้งการฉีกขาดของแคมเล็กและปุ่มกระสันนอกเหนือจากบริเวณที่ตัดฝีเย็บด้วย
  1. ประเมินเลือดที่ออกจากมดลูกในระยะคลอด
  1. ทำการเย็บซ่อมแซมแผลที่ฝีเย็บ
  1. ให้ยา Oxytocin เพื่อช่วยให้มดลูกหดรัดตัว

8 ทำความสะอาดผู้คลอดพยาบาลผู้ทำคลอดต้องช่วยทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและร่างกายที่เปื้อนเลือดหรือน้ำคร่ำให้ผู้คลอดและให้ใส่ผ้าอนามัยเพื่อดูปริมาณเลือดที่ออก

  1. วัดความดันโลหิตทันทีหลังทำคลอดรก
  1. ให้ทารกดูดนมมารดาโดยเร็วภายในครึ่งชั่วโมงหลังคลอดต้องให้ทารกได้สัมผัสและดูดนมมารดา เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหลั่งฮอร์โมน Prolactin และ Oxytocin
  1. คลึงมดลูกให้กลมแข็งตลอดเวลา
  1. ดูแลความสุขสบายโดยทำความสะอาดเช็ดเลือดและเช็ดตัวเพื่อล้างเหงื่อให้ผู้คลอดใส่ผ้าอนามัยและเปลี่ยนเสื้อผ้า
  1. ก่อนการย้ายผู้คลอดไปแผนกหลังคลอด ควรประเมินการตกเลือดหลังคลอดโดยคลึงมดลูกไล่ก้อนเลือดออกเพื่อไม่ให้ขัดขวางต่อการหดรัดตัวของมดลูก
  1. ให้อาหารธรรมดาเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำตาล (Hypoglycemia)
  1. นำทารกมาให้ดูดนมแม่
  1. ห้ามลุกจากเตียง 4-6 ชม. ป้องกันหน้ามืดเป็นลม ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
  1. ประเมินสภาวะหญิงหลังคลอดวัดสัญญาณชีพทั้งอุณหภูมิการหายใจชีพจรและความดันโลหิต ทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้ง พร้อมบันทึกไว้
  1. ให้สุขศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติตนหลังคลอดก่อนส่งผู้คลอดไปหอผู้ป่วยหลังคลอด

4.1.8 การใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระยะคลอดปกติ

Pethidine หรือ Meperidine

การใช้ยา Oxytocin (Syntocinon)

หลักการใช้ยา

สิ่งที่สำคัญคือ แพทย์ต้องเฝ้าผู้คลอดขณะให้ยาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วง 15-30 นาทีแรก

ใช้เพื่อกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกในระยะคลอด, ชักนำการคลอด (Induction of labor), เพิ่มประสิทธิภาพในการหดรัดตัวของมดลูก

  1. สังเกตอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ น้ำคร่ำมี Meconium
  1. ก่อนให้ยาต้องประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกก่อน และตลอดการให้ยาใช้ Electtonic fetal monitoring ในระยะที่ 1 ทุก 15 นาที และในระยะที่ 2 ทุก 5 นาที
  1. วัดความดันโลหิต และชีพจรของผู้คลอดที่ 1 ชั่วโมง และวัดอุณหภูมิร่างการทุก 4 ชั่วโมง
  1. FHR เป็นแบบ Late deceleration หรือ significant variable deceleration ควรหยุดให้ยาและทำ Intrauterine resuscitatio
  1. ปรับอัตราการให้ยาเพิ่มขึ้น 1-2 milliunit/min และเฝ้าติดตามอาการ การหดตัวของมดลูก ทุก 30 นาที
  1. ควรเริ่มให้สารน้ำที่ไม่มียาก่อน แล้วจึงให้สารน้ำที่มี oxytocin โดยเริ่มให้ในอัตราต่ำๆก่อน
  1. หากมดลูกหดรัดตัวนานกว่า 90 วินาที หรือความถี่มากกว่าทุก 2 นาที (หรือ 6 ครั้งใน 10 นาที) ถือว่าเป็น Hyperstimulation ต้องหยุดให้ยาทันที เพราะอาจเกิด titanic uterine contraction ซึ่งอันตรายกับมารดาและทารก และอาจพิจารณาให้ Tocolytic drugs
  1. ครึ่งชีวิตของ Oxytocin อยู่ที่ประมาณ 5 นาที
  1. หากให้ยา oxytocin นาน4-6 ชั่วโมงแล้วยังไม่เกิดอาการเจ็บครรภ์ ควรพิจารณาหยุดยา
  1. การใช้ยาควรใช้เครื่อง Automatic infusion pump เนื่องจากต้องการความแน่นอนของยาในแต่ละนาที
  1. หลังการคลอดต้องให้ยา Oxytocin ต่ออีกอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
  1. ต้องเจือจางยาด้วยสารละลาย Isotonic solution อัตราส่วนตามมาตรฐานของแต่ละโรงพยาบาล
  1. ภาวะแทรกซ้อน

Precipitated labour

Abruptio placentae

Ruptured uterus เกิดจากการไม่ระมัดระวังในการให้ยา

Amniotic fluid embolism

ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน มักเกิดจากมดลูกถูกกระตุ้นให้หดตัวรุนแรงและถี่เกินไป

Postpartum hemorrhage จาก uterine atony

Water intoxication จาก antidiuretic effect เมื่อใช้ยาขนาดเกินกว่า 20mu/min เป็นเวลานาน

การบริหารยา ให้ทาง Intramuscular:onset 10-15 นาที , 3-4 ชั่วโมง ให้ทาง IV: onset 5-10 นาที, 3-4 ชั่วโมง การฉีดเข้ากล้ามเนื้อฉีดซ้ำทุก 3-4 ชั่วโมง ในขนาดที่น้อยๆแต่บ่อยครั้ง

ยานี้มีผลต่อทารกในครรภ์มากถ้าคลอดในชั่วโมงที่ 2-3 หลังได้รับยา แต่มีผลน้อยถ้าทารกคลอดหลังจากฉีดยาไปแล้ว 4 ชั่วโมง

pethidine ขนาดยาที่ใช้ทั่วไปคือ 50 -100 mg. เป็น narcotic analgesia กด respiratory center น้อยกว่า morphine

Meperidine ทางหลอดเลือดดำ ยาจะออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็วขึ้น และในทารกที่มีอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ควรต้องระมัดระวังในการให้ยา

มักใช้ยานี้บรรเทาปวดในระดับปานกลางถึงรุนแรง นิยมให้ในช่วง first stage of labour เพื่อลดปวดและช่วยให้มารดาพักผ่อนได้มากขึ้น

การให้ pethidine อย่างเดียวหรือร่วมกับ Promethazine ไม่ลดการหดตัวของมดลูก และอาจเพิ่มการหดตัวของมดลูกเล็กน้อย

pethidine มีครึ่งชีวิตประมาด 3-6 ชั่วโมง , norpethidine มีครึ่งชีวิตประมาณ 8-21 ชั่วโมง และในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต จะมีครึ่งชีวิตที่ยาวนานขึ้น

อาการไม่พึงประสงค์

จับกับ Albumin และ Alpha-1 acid glycoprotein ในพลาสม่า แปลงสภาพที่ตับ ได้ Norpethedine มีฤทธิ์ระงับปวด

อาการแสดงการได้รับยาเกินขนาด

เป็นยาแก้ปวด ในกลุ่มยาโอปิออยด์ ช่วยลดกลไกที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด

การรักษา

ระบบประสาท : ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น ง่วงซึม เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน กระวนกระวาย เห็นภาพหลอน ชัก อาจเกิด Hyperalgesia หากใช้ยาในขนาดสูง

ระบบหัวใจและหลอดเลือด : อาจเกิดหน้าแดง อ่อนเพลีย จนรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ความดันเลือดต่ำ หัวใจเต้นเร็ว

ระบบหายใจ : กล่องเสียงหดเกร็ง หายใจลำบาก ภาวะกดการหายใจ หยุดหายใจ

ระบบทางเดินอาหาร : คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปากแห้ง ท้องผูก ท่อน้ำดีหดเกร็ง การเกร็งตัวของลำไส้เพิ่มขึ้น

ระบบทางเดินปัสสาวะ : ปัสสาวะคั่ง ถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะน้อย ท่อไตหดเกร็ง

ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก : กล้ามเนื้อหดเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุก

ผิวหนังและปฏิกิริยาแพ้ : ผิวหนังแห้ง ผื่นขึ้น มีอาการคัน ลมพิษ มีเหงื่อออกมากผิดปกติ

ตา : รูม่านตาหด

ง่วงซึม รูม่านตาหดเล็ก เวียนศีรษะ มึนงง สับสน กังวล ชัก ไม่รู้สึกตัว ผิวหนังเย็นชื้น เป็นไข้ ความดันโลหิตต่ำ จังหวะหัวใจเต้นช้าลง หายใจช้าและลึกหรือหยุดหายใจ

ให้รักษาตามอาการร่วมกับให้ Specific antidote โดยให้สารต้านฤทธิ์ opioid เช่น Naloxone ทางหลอดเลือดดำ เฝ้าระวังติดตามอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก naloxone มีฤทธิ์สั้น ควรเฝ้าระวังการหายใจ ชีพจร และความดันโลหิตของผู้ป่วย