Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิธีการเผยแผ่ตามแนวพุทธจริยาต่อชาวโลก - Coggle Diagram
วิธีการเผยแผ่ตามแนวพุทธจริยาต่อชาวโลก
หลักการสอนของพระพุทธเจ้า
การสอน คือกรรมวิธีสำหรับเร้าให้ผู้เรียนเกิดความรู้ในระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับต่ำสุดถึงสูงสุด การสอนที่จะมีผลดีนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น สติปัญญาและความเอาใจใส่ของนักเรียน ความรู้ความสามารถและความเอาใจใส่ของครู ตลอดถึงวิธีการสอนที่ดี พระพุทธเจ้าทรงเป็นครูชั้นยอดพระองค์หนึ่ง ทรงสามารถสอนให้คนเกิดความรู้ถึงขั้นวิชชุญาณและสัมโพธิญาณได้ด้วยการพูดธรรมดา และสามารถให้ผู้ฟังรู้ถึงขั้นอริยะสัจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นจากปุถุชนเป็นอริยบุคคลได้ การศึกษาถึงคุณสมบัติและวิธีการสอนของพระพุทธเจ้าจึงเท่ากับเป็นการศึกษาถึงวิธีสอนตามหลักพุทธศาสตร์ และสามารถนำหลักการบางอย่างมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบันได้
เกี่ยวกับเนื้อหาเรื่องที่สอน
เรื่องที่จะทำการสอนมีความสำคัญอย่างยิ่ง คนที่จะสอนคนอื่นต้องรู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาสอน ต้องรู้เนื้อหาหรือเรื่องที่จะสอนให้เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งก่อน และต้องคิดก่อนว่าจะเอาอะไรไปสอนในข้อนี้ ผู้สอนควรได้คำนึงถึงหลักการสอนของพระพุทธเจ้า และนำมาเป็นแนวทางในการสอนได้ ดังนี้
สอนจากสิ่งที่รู้ที่เห็นเข้าใจง่ายหรือรู้เห็นเข้าใจแล้วไปหาสิ่งที่เห็นเข้าใจได้ยาก เนื้อหาต้องเป็นเนื้อหาที่คนฟังเข้าใจง่ายหรือเข้าใจดีอยู่แล้ว ค่อยโยงไปหาเนื้อหาที่เข้าใจยากหรือยังไม่เข้าใจตามลำดับ เช่น การสอนตามหลักอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ หนทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
สอนเนื้อหาที่ลุ่มลึกลงไปตามลำดับ หรือสอนเนื้อเรื่องที่ค่อยลุ่มลึกยากลงไปตามลำดับชั้น และความต่อเนื่องกันเป็นสายลงไป เช่น การสอนตามหลักอนุบุพพีกถา ซึ่งมีเนื้อหาเจาะลึกลงตามลำดับ คือ ทานกถา พูดเรื่องทาน สีล กถา พูดเรื่องศีล สัคคกถา พูดเรื่องสวรรค์ กามาทีนวกถา พูดเรื่องโทษของกาม เนกขัมมกถา พูดเรื่องการออกจากกาม
ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้ ก็สอนด้วยของจริง ให้ผู้เรียนได้ดู ได้เห็น ได้ฟังหรือได้ทดลองปฏิบัติจริง อย่างที่เรียกว่าสอนด้วยประสบการณ์ตรง
สอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง ตรงประเด็น คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่องโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา หรือที่เรียกว่าสอนตรงเนื้อหานั่นเอง
สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้
สอนเท่าที่จำเป็นพอดีสำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้การเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้ หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก
สอนสิ่งที่มีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง และการสอนสิ่งที่มีความหมายนั้น เห็นควรเทียบเคียงกับพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า ๖ ประการ ดังนี้
(1) วาจาใดไม่จริงไม่ถูกต้อง, ไม่เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น, พระองค์ไม่ตรัสวาจานั้น
(2) วาจาใดจริงถูกต้อง, แต่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น, พระองค์ไม่ตรัสวาจานั้น
(3) วาจาใดจริงถูกต้อง, เป็นประโยชน์, เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น,พระองค์เลือกตรัสวาจานั้น
(4) วาจาใดไม่จริงไม่ถูกต้อง, ไม่เป็นประโยชน์, ถึงเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น, พระองค์ไม่ตรัสวาจานั้น
(5) วาจาใดจริงถูกต้อง, แต่ไม่เป็นประโยชน์, ถึงจะเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น, พระองค์ไม่ตรัสวาจานั้น
(6) วาจาใดจริงถูกต้อง, เป็นประโยชน์, เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น,พระองค์เลือกกาลตรัสวาจานั้น
เกี่ยวกับตัวผู้เรียน
ในการสอนนั้น สิ่งที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงต่อจากเนื้อหาก็คือตัวผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม เพศ สติปัญญา และ อายุ ที่เรียกว่า “ความแตกต่างระหว่างบุคคล” จึงจะทำให้การสอนเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนมากที่สุด หลักการสอนของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับตัวผู้เรียน ที่ผู้สอนควรยึดเป็นแนวทางในการสอน มีดังนี้
พระพุทธเจ้าจะทรงสอนใคร พระองค์จะทรงพิจารณาดูบุคคลผู้รับการสอนก่อนว่า บุคคลนั้นๆ เป็นคนประเภทใด มีพื้นความรู้ ความเข้าใจ หรือความพร้อมมากน้อยเพียงใด และควรจะสอนอะไร แค่ไหน หมายถึง การรู้ การคำนึงถึง และการสอนให้เหมาะตามความแตกต่างของบุคคลนั่นเอง
ปรับวิธีสอนผ่อนให้เหมาะกับบุคคล แม้สอนเรื่องเดียวกันแต่ต่างบุคคล อาจใช้วิธีการต่างกัน
คำนึงถึงความพร้อมของบุคคล เรียกว่า ปริปากะ หมายถึง พิจารณาผู้เรียนแต่ละบุคคลเป็นรายๆ ไปด้วย ว่าในแต่ละคราวหรือเมื่อถึงเวลานั้นๆ เขาควรจะได้เรียนอะไร และเรียนได้แค่ไหน เพียงไร หรือว่าสิ่งที่ต้องการให้เขารู้นั้น ควรให้เขาเรียนได้หรือยัง
สอนโดยให้ผู้เรียนลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจนแม่นยำและได้ผลจริง
การสอนดำเนินไปในรูปที่ให้รู้สึกว่าผู้เรียนกับผู้สอนมีบทบาทร่วมกันในการแสวงหาความจริง ให้มีการแสดงความคิดเห็น โต้ตอบเสรี เช่น ล่อให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นของตนออกมา มีการแสดงความคิดเห็นมุ่งหาความรู้
เอาใจใส่บุคคลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็นรายๆ ไปตามสมควรแก่กาลเทศะและเหตุการณ์
ครูต้องเอาใจใส่ผู้เรียนที่มีปัญหาเป็นพิเศษ ช่วยเหลือเอาใจใส่คนที่ด้อยที่มีปัญหา
เกี่ยวกับตัวการสอน
ดังที่ทราบแล้วว่า การสอน คือ กรรมวิธีสำหรับเร้าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในระดับต่างๆ และการสอนที่จะเกิดผลดีและมีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สติปัญญาความสามารถของนักเรียน ความเอาใจใส่ของครู และสภาพแวดล้อม เป็นต้น
หลักการสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับตัวการสอนที่ผู้สอนสามารถนำมาเป็นแนวทางในการสอนได้ มีดังนี้
ในการสอนนั้น การเริ่มต้นเป็นจุดสำคัญมากอย่างหนึ่ง การเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การสอนสำเร็จผลดีเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็เป็นเครื่องดึงความสนใจ และนำเข้าสู่เนื้อหาได้
สร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลิน ไม่ให้ตึงเครียด ไม่ให้เกิดความอึดอัดใจ และให้เกียรติแก่ผู้เรียน
สอนมุ่งเนื้อหา มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่สอนเป็นสำคัญ ไม่กระทบตนและผู้อื่น ไม่มุ่งยกตน ไม่มุ่งเสียดสีใครๆ
สอนโดยเคารพ คือ ตั้งใจสอน ทำจริง ด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่งมีค่า มองเห็นความสำคัญของผู้เรียนและงานสั่งสอน ไม่ใช่สักว่าทำหรือเห็นผู้เรียนโง่เขลา
ใช้ภาษาสุภาพ นุ่มนวล เหมาะสม ไม่หยาบคาย ชวนให้สบายใจ สละสลวย เข้าใจง่าย
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธจริยา
โลกัตถจริยา พระพุทธจริยาเพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ตัวอย่างเช่น พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ 5 ประการ เพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ ตลอดจนพระชมม์ชีพของพระองค์ดังนี้
1.1 ปุเรภัตตกิจ พุทธกิจภาคเช้าหรือภาคก่อนอาหาร ทรงตื่นพระบรรทมแต่เช้าเสด็จออกบิณฑบาตเสวยแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนในที่นั้นๆ เสด็จกลับพระวิหาร รอให้พระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว เสด็จเข้าพระคันธกุฎี
1.2 ปัจฉาภัตตกิจ พุทธกิจภาคบ่ายหรือหลังอาหาร ระยะที่ ๑ เสด็จออกจากพระคันธกุฎี ทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้ว พระสงฆ์แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรมในที่ต่างๆ พระองค์เสด็จเข้าพระคันธกุฎี อาจทรงบรรทมเล็กน้อยแล้ว ระยะที่ ๒ ทรงพิจารณาตรวจดูความเป็นไปของชาวโลก ระยะที่ ๓ ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนในถิ่นนั้นที่มาประชุมกันในธรรมสภา
1.3 ปุริมยามกิจ พุทธกิจยามที่ ๑ (ของราตรี) หลังจากพุทธกิจภาคกลางวันแล้ว อาจทรงสนานแล้วปลีกพระองค์อยู่เงียบๆ พักหนึ่ง จากนั้นพระภิกษุสงฆ์มาเฝ้า ทูลถามปัญหาบ้าง ขอกรรมฐานบ้าง ให้ทรงแสดงธรรมบ้าง ทรงใช้เวลาตลอดยามแรกนี้สนองความประสงค์ของพระสงฆ์
1.4 มัชฌิมยามกิจ พุทธกิจในมัชฌิมยาม เมื่อพระสงฆ์แยกย้ายไปแล้วทรงใช้เวลาที่สองตอบปัญหาพวกเทพทั้งหลายที่มาเฝ้า
1.5 ปัจฉิมยามกิจ พุทธกิจในปัจฉิมยาม ทรงแบ่งเป็น ๓ ระยะ ระยะแรก เสด็จดำเนินจงกรมเพื่อให้พระวรกายได้ผ่อนคลาย ระยะที่ ๒ เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงพระบรรทมสีหไสยาสน์อย่างมีพระสติสัมปชัญญะ ระยะที่ ๓ เสด็จประทับนั่งพิจารณาสอดส่องเลือกสรรว่าในวันต่อไปจะมีบุคคลใดที่ควรเสด็จไปโปรดโดยเฉพาะเป็นพิเศษ เมื่อทรงกำหนดพระทัยแล้ว ก็จะเสด็จไปโปรดในภาคพุทธกิจที่ ๑ คือ ปุเรภัตตกิจ๓
ญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่พระญาติตามฐานะ หรือโดยฐานะเป็นพระญาติ ตัวอย่างเช่น เสด็จไปโปรดพระญาติ ณ นครกบิลพัสดุ์ ทรงห้ามพระญาติฝ่ายศากยะและโลกิยะ ผู้วิวาทถึงกับจะรบกันด้วยเหตุแห่งการแย่งน้ำเข้านา จนเป็นที่มาของปางห้ามญาติ เป็นต้น
พุทธัตถจริยา ทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานะเป็นพระพุทธเจ้า ตัวอย่างเช่นทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่แยกชั้นวรรณะ ยากดีมีจน ทรงบัญญัติพระวินัยทรงก่อตั้งพระพุทธศาสนาและบริษัท 4 ให้ยั่งยืนสืบมา ด้วยเหตุนี้จึงทรงได้รับการยกย่องเป็นศาสดาเอกของโลก