Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิภาพหัวใจและหลอดเลือด - Coggle Diagram
พยาธิภาพหัวใจและหลอดเลือด
Cardiovascular disease
(โรคหัวใจและหลอดเลือด)
ข้อแนะนำการปรับพฤติกรรมสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
หยุดสูบบุหรี่หรือไม่เริ่มสูบ และไม่สูดดมควันบุหรี่
การบริโภคอาหาร
-ลดอาหารไขมันสูง
-ลดอาหารเค็มหรือมีโซเดียมสูง
-ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานหรือน้ำตาลสูง
ออกกำลังกาย
ได้รับยาตามความเหมาะสม
เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากหลอดเลือดตีบตันหรือหลอดเลือดแข็งตัว ทำให้มีความต้านทานการไหลของเลือด หากเกิดบริเวณหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยเกิดโรคหัวใจขาดเลือด หากอุดตันจนเลือดไปเลี้ยงหัวไม่ได้จะเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หรืออาหารไขมันสูง
การไม่ออกกำลังกาย
การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์
อาการ
ปวดเค้นที่บริเวณหัวใจ อาจร้าวไปที่แขน ไหล่ซ้าย ข้อศอก ขากรรไกร หรือไปที่ด้านหลัง
แน่นหน้าอก
หายใจลำบาก
ใจสั่น ซีด คลื่นไส้อาเจียน
แนวทางการรักษา
การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน
การขยายหลอดเลือดโดยการใช้แสงเลเซอร์
การผ่าตัดหลอดเลือดเพื่อนำหลอดเลือดอื่นไปทำหน้าที่แทนหลอดเลือดหัวใจช่วงที่อุดตัน
Coronary Artery Disease
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบทำให้ร่างกายไม่สามารถส่งกระแสเลือดและออกซิเจนไปยังหัวใจได้ โดยเฉพาะในขณะที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างออกกำลังกาย เป็นต้น โรคหลอดเลือดหัวใจมีอาการดังนี้
เจ็บหน้าอก(Angina)
หายใจติดขัด
หัวใจวาย
หัวใจล้มเหลว
สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ
คอเลสเตอรอล
การสูบบุหรี่ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจคือการสูบบุหรี่ ซึ่งส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจมากถึง 24%
โรคเบาหวาน เป็นความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากถึง 2 เท่า
ภาวะหลอดเลือดอุดตัน (Thrombosis) คือการที่เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มหรือก้อนในเส้นเลือดใหญ่
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
การตรวจเลือด แพทย์อาจใช้การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับเอนไซม์ในหัวใจ (Cardiac Enzyme Test) ในการตรวจสอบความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ
การเอกซเรย์ทรวงอก ใช้ตรวจดูสาเหตุและอาการต่าง ๆ ที่เกิดขี้นบริเวณหัวใจ
การสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ช่วยในการสร้างภาพหัวใจ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG/Elektrokardiogram: EKG)
การทดสอบโดยการกัมมันตรังสี (Radionuclide Tests) คือการฉีดสารกัมมันตรังสีไอโซโทป (Radioactive Isotope) เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อทราบถึงประสิทธิภาพการสูบฉีดเลือดและการไหลเวียนของเลือดไปยังผนังกล้ามเนื้อหัวใจ
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ
การรักษาด้วยตนเอง
งดสูบบุหรี่
ลดน้ำหนักส่วนเกิน
ควบคุมความเครียด
หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การรักษาด้วยการใช้ยา
กลุ่มยาคอเลสเตอรอล ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด โดยเฉพาะในส่วนของไขมันร้ายหรือ LDL ซึ่งมักจับตัวสะสมในหลอดเลือดหัวใจ
ยาต้านเกล็ดเลือด
ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ ใช้รักษาความดันโลหิตสูงและป้องกันอาการเจ็บหน้าอก โดยการปิดกั้นฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
ยาขยายหลอดเลือด มีทั้งในรูปแบบเม็ด สเปรย์ หรือแผ่นสำหรับติดบริเวณผิวหนัง ยาประเภทนี้ทำหน้าที่ลดความดันโลหิตและอาการปวดบริเวณหัวใจ แต่อาจทำให้ปวดหัวและมึนงงได้
ยาปิดกั้นแคลเซียม ใช้ในการลดความดันโลหิตโดยการสร้างความผ่อนคลายให้กับกล้ามเนื้อของผนังหลอดเลือด จึงทำให้หลอดเลือดกว้างขึ้น แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว
ยาขับปัสสาวะ ช่วยขับน้ำและเกลือส่วนเกินออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะ
การรักษาโดยการผ่าตัดและกระบวนการทางแพทย์
การทำบอลลูนหัวใจ เป็นกระบวนการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกหรือใช้ในการรักษาอาการฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องได้รับการสวนหลอดเลือดหัวใจก่อนการรักษาด้วยการทำบอลลูน
การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจหรือการทำบายพาสหัวใจ การผ่าตัดชนิดนี้มักใช้กับภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ หรือการทำบอลลูนไม่สามารถช่วยรักษาได้
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ใช้สำหรับกรณีที่รุนแรงและไม่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา หรือหัวใจไม่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
การออกกำลังกาย
ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายมักมีแนวโน้มที่จะประสบภาวะหัวใจวายได้มากถึง 2 เท่า การออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์เป็นเวลา 30–60 นาทีใน 4–5 วันต่อสัปดาห์ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินและควบคุมโรคเบาหวาน รวมถึงคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เพื่อป้องกันโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรวางแผนในการรับประทานอาหาร
งดสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่คือปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ สารนิโคตินในบุหรี่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
หากไม่สามารถงดเว้นได้ ควรควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ให้เหมาะสมหรือไม่เกิน 14 แก้วต่อสัปดาห์
ควบคุมความเครียด
ควรฝึกวิธีการควบคุมความเครียด เช่น การผ่อนคลายกล้ามเนื้อและการหายใจ
Heart failure
ภาวะหัวใจล้มเหลว หมายถึงภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้
Right-side heart failure
•ตับโต
•ปวดแน่นช่องท้อง
•เบื่ออาหาร
•ขาบวม ท้องบวม
Left-side heart failure
•เลือดคั่งในปอด
•เหนื่อย
•หอบ
•ไอเป็นเลือด
•นอนราบไม่ได้
การรักษา
-เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
-ใช้ยารักษา
-การใช้เครื่องมือในการช่วยเหลือ
-ผ่าตัดใส่เครื่องสูบฉีดหัวใจ
-ผ่าตัดลิ้นหัวใจ ปลูกถ่ายหัวใจ
Atherosclerosis
โรคหลอดเลือดตีบเเข็ง
สาเหตุ
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรค Atherosclerosis แต่โรคนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อผนังด้านในของหลอดเลือดแดงได้รับความเสียหายจนทำให้เซลล์เม็ดเลือดหรือสารอื่น ๆ เช่น ไขมัน หรือแคลเซียม ก่อตัวขึ้นและทำให้หลอดเลือดแดงตีบ แข็ง หรืออุดตัน ทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อรวมถึงอวัยวะบริเวณใกล้เคียงไม่เพียงพอ และส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะนั้น ๆ
อาการ
อาการ ของโรคหลอดเลือดแข็งขึ้นกับความรุนแรงของการตีบตัน และขึ้นกับว่าเส้นเลือดที่ตีบตันนั้น เกิดขึ้นกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะส่วนใด
ถ้าเกิดขึ้นกับหลอดเลือดหัวใจจะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีการ เจ็บจุกแน่นหน้าอก ขณะออกกำลังกาย หรืออาจเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย เฉียบพลันได้
ถ้าเกิดขึ้นกับหลอดเลือดสมอง จะทำให้เกิดภาวะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ อาจมีอาการแขนขาอ่อนแรง เดินเซ เวียนศีรษะ เห็นภาพซ้อนหรืออัมพฤกษ์ อัมพาต
ถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต จะทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง
ถ้า เกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงแขนขา จะทำให้เกิดอาการปวดน่องเวลาเดินไกล ๆ ถ้าเป็นมาก ๆ อาจทำให้นิ้วเท้าขาดเลือดจนต้องตัดนิ้วหรือตัดขาได้
ปัจจัยเสี่ยง
ความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด (Dyslipidemia) ที่พบบ่อยมี 4 ชนิด คือ
1.1 มีระดับไขมันคอเลสเทอรอลในเลือดสูง (Total Cholesterol) ค่าปกติไม่ควรสูงเกิน 200มิลลิกรัม/เดซิลิตร
1.2 มีระดับแอลดีแอลคอเลสเทอรอลสูง (LDL-Cholesterol) ซึ่งเป็นไขมันที่ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ค่าปกติควรน้อยกว่า 130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
1.3 มีระดับเอชดีแอลคอเลสเทอรอลต่ำ (HDL-Cholesterol) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีที่ช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือดในระดับต่ำ ค่าปกติของผู้ชายอยู่ที่ระดับ 40-50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ผู้หญิงควรอยู่ที่ระดับ 50-60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
1.4 มีระดับไขมันไตรกรีเซอร์ไรด์ในหลอดเลือดสูง (Triglyceride) ค่าปกติไม่ควรสูงเกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติจะมีอัตราการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้มากกว่าผู้ที่มีความดันโลหิตปกติรวมทั้งอัตราการตายจากโรคหัวใจก็จะสูงขึ้นด้วย
โรคเบาหวาน (Diabetes Millitus)
สภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เกิดการทำงานของเซลล์บุผนังหลอดเลือดผิดไปจากปกติ (Endothelial Dysfunction) และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสภาวะหลอดเลือดแดงแข็งอีกด้วย โดยที่ผู้ป่วยเบาหวานจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น 3-5 เท่า
อาหาร (Dietary)
พบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว (Saturated Fat) และ/หรือ คอเลสเทอรอลในปริมาณสูงหรือรับประทานอาหารที่มีกากใย (Fiber) น้อยเกินไปจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น
การขาดการออกกำลังกาย (Physical Inactivity)
ทำให้น้ำหนักเกินหรือเกิดโรคอ้วน รวมทั้งระดับของเอชดีแอลคอเลสเทอรอลในเลือดต่ำลงด้วย
โรคอ้วน (Obesity) หรือภาวะน้ำหนักเกิน (Over-weight)
คนอ้วนมักจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานมากกว่าคนปกติ
คนอ้วนมักจะมีความผิดปกติของระดับไขมันต่างๆ ในเลือดได้มากกว่าคนปกติ
คนอ้วนจะมีระดับของฮอร์โมนอินซูลินในเลือดสูง (Hyperinsulinemia) ซึ่งมีผลในการกระตุ้นการเจริญที่มากผิดปกติของเซลล์กล้ามเนื้อของผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงได้
การสูบบุหรี่
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับเอชดีแอลคอเรสเทอรอลในเลือดต่ำ
ทำให้เกิดกระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation) ของแอลดีแอลคอเรสเทอรอลเป็นสาเหตุให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่ายขึ้น
การทำงานของเซลล์บุผนังหลอดเลือดผิดไปจากปกติ
การรักษา
การใช้ยา
ยาลดไขมัน เช่น ยาในกลุ่มสแตติน ซึ่งจะช่วยลดการก่อตัวของไขมันชนิดที่ไม่ดีในหลอดเลือดแดง และช่วยกระตุ้นให้คอเลสเตอรอลชนิดที่ดีให้ทำงานได้ดีขึ้น
ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น ยาแอสไพริน เพื่อลดการก่อตัวของเกล็ดเลือดในหลอดเลือดแดงที่อาจเป็นสาเหตุของหลอดเลือดอุดตันในอนาคต
ยาสลายลิ่มเลือด ในกรณีที่ลิ่มเลือดเป็นสาเหตุทำให้เกิดการตีบตันของหลอดเลือดแดง
ยาเบต้าบล็อกเกอร์ เช่น ยาอะซีบูโทลอล ยาอะทีโนลอล หรือยาโพรพราโนลอล ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ เพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก ลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจขาดเลือดและหัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภท
ยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์ เช่น ยาเบนาซีพริล ยาแคปโตพริล หรือยาอีนาลาพริล ซึ่งจะช่วยลดความดันโลหิต เป็นประโยชน์ต่อหลอดเลือดหัวใจ และลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจขาดเลือด
ยาแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ เช่น ยาแอมโลดิปีน ยาดิลไทอะเซม หรือยาฟีโลดิปีน เพื่อป้องกันแคลเซียมเข้าสู่เซลล์หัวใจและผนังหลอดเลือด ช่วยให้ความดันโลหิตลดลง และอาจใช้บรรเทาอาการเจ็บหน้าอกได้ด้วยเช่นกัน
ยาขับปัสสาวะ เช่น ยาคลอโรไทอะไซด์ ยาบูมีทาไนด์ หรือยาอะมิโลไรด์ เพื่อกำจัดโซเดียมและของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ความดันของผนังหลอดเลือดลดลง
การผ่าตัด มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือเกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่อาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ ซึ่งการผ่าตัดสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
การผ่าตัดขยายหลอดเลือด โดยใช้ท่อ บอลลูน หรือลวดตาข่าย เพื่อขยายหลอดเลือดที่เกิดการตีบตัน ทำให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ และบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกจากภาวะหัวใจขาดเลือด
การทำบายพาส เป็นการผ่าตัดเพื่อทำทางเบี่ยงหลอดเลือดที่แข็งหรือเกิดการอุดตัน เพื่อให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก และป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด
การผ่าตัดเปิดหลอดเลือด เพื่อกำจัดตะกรันไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดที่คอ ทำให้เลือดไหลเวียนไปที่สมองได้ตามปกติ และช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองด้วย
การดูแลตนเอง แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตนเองมากขึ้นด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เลิกสูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือก่อให้เกิดโรคอ้วนได้ เป็นต้น
การป้องกัน
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันอาจช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรค Atherosclerosis ได้ โดยอาจปฏิบัติตามวิธีการ ดังต่อไปนี้
เลิกบุหรี่ เพราะบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดแดงเกิดความเสียหาย และการเลิกสูบบุหรี่ยังช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ได้ด้วยเช่นกัน
ควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ โดยผู้ชายไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ดื่มมาตรฐาน และผู้หญิงไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 ดื่มมาตรฐาน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ใช้ออกซิเจนอย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยสร้างหลอดเลือดใหม่ ลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ ผัก ผลไม้ ธัญพืช และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล โซเดียม และน้ำตาลสูง
ควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และโรคเบาหวาน ซึ่งลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้
ทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เช่น ทำงานอดิเรกที่สนใจ หรือนั่งสมาธิ เพื่อบรรเทาความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรค Atherosclerosis
Hypertension
(โรคความดันโลหิตสูง)
ภาวะที่ความดันช่วงบน มีค่าตั้งแต่ 130 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป และความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 80 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง
ส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% แพทย์จะตรวจไม่พบโรค หรือภาวะผิดปกติ หรือสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า “ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด” (Essential hypertension)
ส่วนน้อยประมาณ 5-10% แพทย์อาจตรวจพบโรค หรือภาวะผิดปกติ หรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า “ความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ”
โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรัง หน่วยไตอักเสบ โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง
หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis)
หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta)
เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
พันธุกรรม โอกาสจะสูงมากขึ้นเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
โรคเบาหวาน เพราะก่อให้เกิดการอักเสบตีบแคบของหลอดเลือดต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดของไต
โรคไตเรื้อรัง เพราะส่งผลถึงการสร้างเอนไซม์ และฮอร์โมนที่ควบคุมความดันโลหิตดังที่กล่าวไป
น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เพราะเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน
และโรคหลอดเลือดต่างๆ ตีบจากภาวะไขมันเกาะผนังหลอดเลือด
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)
การขาดการออกกำลังกาย เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วนและเบาหวาน
การรับประทานอาหารเค็มอย่างต่อเนื่อง ตามเหตุผลที่กล่าวไป
การสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ส่งผลให้เกิดการอักเสบตีบตันของหลอดเลือดต่างๆ รวมทั้งหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดไต
การดื่มแอกอฮอล์ เพราะส่งผลให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ และมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงประมาณ 50% ของผู้ที่ติดสุราทั้งหมด
อาการความดันโลหิตสูง
รายที่เป็นความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ ส่วนใหญ่จะมีไม่อาการแสดงแต่อย่างใด และมักตรวจพบได้โดยบังเอิญจากการตรวจคัดกรองโรค มีส่วนน้อยที่อาจมีอาการปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ ซึ่งมักจะเป็นตอนตื่นนอนใหม่ๆ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะตุบๆ แบบไมเกรน
ส่วนในรายที่เป็นมานานๆ หรือมีความดันโลหิตสูงมากๆ อาจจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ ตามัว มือเท้าชา หรือมีเลือดกำเดาไหล
ภาวะแทรกซ้อน
โรคหัวใจขาดเลือด : ความดันโลหิตสูงอาจทำให้เส้นเลือดหัวใจหนาและแข็งขึ้นซึ่งอาจทำให้หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและอื่นๆ
เส้นเลือดสมองโป่งพอง : ผนังเส้นเลือดอ่อนตัวลง และโป่งพองจนแตกได้
หัวใจล้มเหลว : พอมีความดันสูง หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อปั๊มเลือดไปทุกส่วนของร่างกาย กล้ามเนื้อที่หัวใจจึงหนาขึ้น ในระยะยาวหัวใจอาจไม่สามารถปรับตัวได้อีกจนไม่สามารถปั๊มเลือดไปส่งได้พอเพียง หรืออาจมีผลต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
โรคไตเสื่อม : ทำให้ไตถูกทำลายและ ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
-ภาวะเมทาบอลิกซินโดรม: การที่ระบบเผาผลาญมีความผิดปกติหลายอย่าง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ไขมันในเลือดชนิดดี (HDL Cholesterol) ต่ำ ความดันโลหิตสูง มีน้ำตาลในเลือดสูง
-ทำให้เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง
-มีปัญหาในการจำและทำความเข้าใจ : ทำให้ความสามารถในการคิด จดจำ และเรียนรู้ต่ำลง
การรักษา
การรักษาโดยไม่ใช้ยา คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิต
-ลดอาหารเค็ม
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-เลิกสูบบุหรี่
-ควบคุมปริมาณแอลกอฮอล์
-ควบคุมน้ำหนัก
การรักษาโดยการใช้ยา
Arrhythmia
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
Atrialfibrillation(AF)เป็นภาวะการเต้นผิดปกติของหัวใจ เกิดเลือดแข็งตัวในหัวใจห้องบนซ้าย
อาการ
ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ อาการที่อาจมีได้แก่ ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกกำลังกาย อาการที่รุนแรงขึ้นได้แก่ ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจขาดเลือด อัมพาต
สาเหตุ
สาเหตุและกลไกการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ภาวะโรคหัวใจและโรคอื่นๆบางชนิดทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดโรคหัวใจเต้นพริ้วได้สูง การที่ร่างกายได้รับแอลกอฮอล์ หรือคาเฟอีนมากเกินไปอาจจะกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจเต้นพริ้วได้ โรคนี้สามารถพบได้ในผู้ใหญ่ในทุกกลุ่มอายุ ความชุกของโรคนี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุ พบความชุกมากถึงร้อยละ 10 ในกลุ่มผู้ที่มีอายุเกิน 75 ปี
สามารถแบ่งสาเหตุได้ดังนี้
เป็นผลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะหลังผ่าตัดหัวใจ
เป็นผลจากโรคของระบบอื่น เช่น ภาวะสูงวัย โรคอ้วน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคเบาหวาน โรคลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด โรคปอดเรื้อรัง โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ โรคติดเชื้อไวรัส ภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด
3.ไม่ทราบสาเหตุ
การรักษา
มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาอาการและลดภาวะแทรกซ้อน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการลดอัตราตายและอัตราการเข้าโรงพยาบาล โดยมีวิธีการหลายอย่างดังนี้
ค้นหาและรักษาสาเหตุการเกิดโรคหัวใจเต้นระริก
ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ
ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและลดอัตราการเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตัน
การรักษาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรักษาด้วยยา การเปลี่ยนจังหวะการเต้นหัวใจ การจี้รักษา และการผ่าตัดหัวใจ การจะเลือกรักษาวิธีใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอายุ ประวัติการเจ็บป่วย อาการแสดงของผู้ป่วย ชนิดของโรคหัวใจเต้นระริก ระยะเวลาในการเกิดหัวใจเต้นพริ้ว และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
Complete heart block คือ คลื่นไฟฟ้าจาก Sinoatrial node ถูกปิดกั้นสมบูรณ์ ไม่สามารถผ่านไปยังหัวใจห้องล่างได้ ทำให้หัวใจห้องล่างเกิดจุดกำเนิดไฟฟ้าขึ้นใหม่ และกระตุ้นให้หัวใจห้องล่างเต้นโดยไม่สัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจห้องบน
อาการ
อัตราการเต้นหัวใจสม่ำเสมอแต่ช้ามาก (น้อยกว่า40ครั้งต่อนาที)
บางรายแสดงอาการภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เช่น เป็นลม ไม่รู้สติ ชัก