Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
9. การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ ✨🍻🚽🧻🌍🏥🚑, ✨🚑🏢🏥จัดทำโดย…
9. การส่งเสริมการขับถ่ายปัสสาวะ
✨🍻🚽🧻🌍🏥🚑
9.7 การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
7.1 วิธีการเก็บปัสสาวะแบบรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง (Clean mid-stream urine)
ปัสสาวะทิ้งช่วงต้นไปเล็กน้อย
เก็บปัสสาวะในช่วงถัดมาประมาณครึ่งภาชนะ หรือประมาณ 30-50 ml. โดยห้ามสัมผัสด้านในของภาชนะ
ให้ผู้ป่วยทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน้ำสะอาด ล้างมือให้สะอาดะเช็ดให้แห้ง
ปัสสาวะช่วงสุดท้ายทิ้งไป นำปัสสาวะไปส่งให้เจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด
7.2 วิธีการเก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะที่คาไว้
1) ใช้Clamp หนีบสายสวนปัสสาวะที่ใต้รอยต่อระหว่างสายต่อของถุงกับสายสวนไว้นาน
ประมาณ 15–30 นาทีเพื่อให้มีปัสสาวะใหม่เก็บอยู่ก่อน
2) เตรียม Syringe sterile เข็มปลอดเชื้อ Sterile swab น้ำยาฆ่าเชื้อ
3) ล้างมือ สวมถุงมือสะอาด เช็ดบริเวณที่จะเก็บปัสสาวะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
4) ใช้กระบอกฉีดยาที่มีเข็มปลอดเชื้อแทงที่สายสวนปัสสาวะตรงตำแหน่งที่ทำความสะอาด
ฆ่าเชื้อไว้แล้ว ดูดปัสสาวะออกมาประมาณ 10 มล และ ส่งเพาะเชื้อทันที
อธิบาย
การเก็บ
ปัสสาวะส่งตรวจที่ถูกต้องมีความสำคัญ
เก็บปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะ
การเก็บปัสสาวะ
24 ชั่วโมง
การเก็บปัสสาวะที่ผู้ป่วย
ถ่ายเองแต่เก็บเฉพาะช่วงกลางเพื่อส่งตรวจ
ดังนั้นการตรวจปัสสาวะสามารถบอกหน้าที่ของไต และการทำงานของระบบอื่น
มีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยโรค เนื่องจากไตทำหน้าที่ขับของเสีย
ออกจากเลือด
7.3 วิธีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง
แล้วถ่ายปัสสาวะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย คือ
เวลา 08.00 น. เช้าวันรุ่งขึ้น
ควรแนะนำให้งดโปรตีน คาเฟอีน ก่อนการเก็บปัสสาวะประมาณ 6 ชั่วโมง
เริ่มเก็บปัสสาวะเวลา 08.00 น
ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ ก่อนและระหว่างการเก็บ
ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งก่อนเริ่มเก็บ และรวบรวม
น้ำปัสสาวะที่เก็บได้หลัง 08.00 น. จนครบกำหนด 24 ชั่วโมง
การเก็บปัสสาวะที่มีการรวบรวมไว้จนครบ 24 ชั่วโมงแล้ว
ส่งตรวจ
9.8 กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
กรณีตัวอย่าง ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก หลังผ่าตัดได้รับการคาสายสวนปัสสาวะไว้ 7 วัน ลักษณะ ปัสสาวะสีเหลืองขุ่น มีตะกอน สัญญาณชีพ 38 องศาเซลเซียส ชีพจร 98 ครั้งต่อนาที หายใจ 20 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิต 120/70 มิลลิเมตรปรอท
ผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการ U/A รายการตรวจ ผลที่ได้
White Blood Cells (WBC, เม็ดเลือดขาว) 50-100 ,
Red Blood Cells (RBC, เม็ดเลือดแดง) Negative,
Epithelial Cells (Epi, เซลเยื่อบุทางเดินปัสสาวะ) 1-2,
Glucose (GLU, น้ำตาลในปัสสาวะ) Negative,
Bilirubin (BIL, น้ำดี) Negative,
Ketones (KET, ภาวะเป็นกรดในร่างกาย) Negative,
Specific Gravity (SG, ความถ่วงจำเพาะ) 1.020,
Blood (BLD, เลือด) Negative,
pH (ความเป็นกรด - ด่าง) 7.0,
Protein (PRO, โปรตีน) Negative,
Urobilinogen (UBG, สารที่ได้จากน้ำดี) 1.0 EU/dL,
Nitrite (NIT, ภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย) Negative,
Leukocytes (LEU, เม็ดเลือดขาว) Negative,
Color (COL, สี) Yellow Slightly Turbid
1 การประเมิน
2) ตรวจร่างกายในระบบทางเดินปัสสาวะ
ได้แก่ การเคาะบริเวณไต เพื่อหาตำแหน่งที่
ปวด การคลำและเคาะกระเพาะปัสสาวะ ตรวจสีลักษณะ และความตึงตัวของผิวหนัง และภาวะบวม
3) วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1) การซักประวัติ
เช่น การออกกำลังกาย ลักษณะอาหารที่รับประทานประจำ
ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน
ลักษณะและสีของปัสสาวะ ปริมาณน้ำดื่มต่อวัน ยาที่รับประทานประจำ โรคประจำตัว เบาหวาน
ความดันความเครียด กิจกรรมที่ทำประจำวัน
แบบแผนและลักษณะการขับถ่ายปัสสาวะปกติ จำนวนครั้งใน 24 ชั่วโมง
2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล
จากข้อมูลของกรณีตัวอย่างร่วมกับข้อมูลสนับสนุนที่ได้จาก
การประเมินสามารถกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1) มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
3 การวางแผนการพยาบาล และการปฏิบัติการพยาบาล
เพื่อลดการติดเชื้อในระบบทางเดิน
ปัสสาวะของผู้ป่วย
1) ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งก่อนและ
หลังให้การพยาบาล ได้แก่ ปัสสาวะสีขาว ขุ่น มีตะกอน
2) ประเมินสัญญาณชีพ
3) ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก Aseptic technique
4) Force oral fluid มากกว่า 2,000-3,000 มิลลิลิตรต่อวัน ถ้าไม่มีข้อห้าม
5) ทำความสะอาดบริเวณฝีเย็บให้สะอาด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังถ่ายอุจจาระ ทุกครั้ง โดยเฉพาะรอบ ๆ รูเปิดของท่อปัสสาวะ
6) ใช้สบู่อ่อนและน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
7) รักษาระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดอยู่เสมอ ไม่ปลดสายสวนและ
ท่อสายยางของถุงรองรับปัสสาวะออกจากกัน เพื่อเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
8) อย่าปล่อยให้ปัสสาวะเต็มถุงรองรับ ควรเททิ้งอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
คือ ก่อนและหลังเทปัสสาวะออกจากถุงควรใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70%
9) ส่งเสริมให้ปัสสาวะเป็นกรด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
และป้องกันการเกิดนิ่ว
10) การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะควรทำเมื่อจำเป็น ระยะเวลาในการเปลี่ยนไม่เจาะจง
ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคนอาจอยู่ระหว่าง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์
11) ดูแลให้ถุงรองรับปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ
12) ตรวจดูสายสวนและท่อระบายของถุงรองรับปัสสาวะเป็นระยะไม่ให้หักพับงอ
13) กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกขึ้นเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย
14) ถ้าเป็นไปได้ให้แยกห้องผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนปัสสาวะออกจาก
ผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อจากการสวนคาสายสวนหรือไม่ควรอยู่เตียงติดกัน
15) ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
16) ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
17) รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกต
4 ประเมินผลการพยาบาล
ภายหลังให้การพยาบาลควรมีการประเมินทุกครั้งตามเกณฑ์
การประเมินผล
เช่น
สัญญาณชีพปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ไม่พบเชื้อ
ปัสสาวะสีเหลืองใสไม่มีตะกอน
✨🚑🏢🏥
จัดทำโดย 🌈👩⚕️🐱🌾นางสาวพลินี จำปา 19A 6201210378