Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษาที่ 3 เรื่อง การพยาบาลมารดาทารกหลังคลอดปกติ - Coggle Diagram
กรณีศึกษาที่ 3
เรื่อง การพยาบาลมารดาทารกหลังคลอดปกติ
5.จากข้อมูลที่ตึกหลังคลอด พยาบาลคลำพบลอนก้อนบริเวณระดับสะดือ ภายหลังมารดายังไม่ถ่ายปัสสาวะ ถือเป็นภาวะปกติหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย
เป็นภาวะผิดปกติ ที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาเช่น
มดลูกหดรัดตัวได้ไม่ดีทำให้ตกเลือดหลังคลอด
หรือเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
7.จากข้อมูล 2 วันหลังคลอด คลำพบมดลูกกลมแข็งต่ำกว่าระดับสะดือ 1 นิ้ว น้ำคาวปลาเป็นสีแดงจางๆ เป็นภาวะปกติหรือไม่ อย่างไร และควรให้การพยาบาลอย่างไร
เป็นภาวะปกติ เนื่องจาก ระดับยอดมดลูก 1 วันหลังคลอดจะลอยสูงขึ้นไปเหนือสะดือเล็กน้อย จากนั้นจะลดระดับลงวันละ 1 ซม.
เป็นภาวะปกติ เนื่องจากในระยะแรกภายใน 3 วันหลังคลอดน้ำคาวปลาจะมีสีแดงเรียกว่า lochia rubra ในวันที่ 3 – 10 หลังคลอดน้ำคาวปลาจะจางลง สีค่อนข้างใสเรียกว่า lochia serosa และหลังวันที่ 10 น้ำคาวปลาจะลดน้อยลงมีสีขาวหรือสีเหลืองขาวเรียกว่า lochia alba น้ำคาวปลามักจะยังคงมีอยู่ได้นานถึง 4 – 8 สัปดาห์หลังคลอด
การพยาบาล แนะนำให้มารดาคลึงมดลูกทุก 30นาที เพื่อป้องกันการตกเลือกในระยะหลังคลอด และแนะนำเรื่องการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์เช็ดจากหน้าไปหลัง หลังทำความสะอาดควรซับให้แห้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
10.พยาบาลควรส่งเสริมบทบาทบิดารายนี้อย่างไร
แนะนำให้บิดา ได้ทำหน้าที่ดูแลภรรยาและทารกร่วมกัน เช่น การช่วยกันอาบน้ำให้ทารก การเปลี่ยนผ้าอ้อม
ให้บิดาเข้าเยี่ยมและอยู่ใกล้ชิดภรรยาและทารกเพื่อ
ให้มารดามั่นใจ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
อธิบายให้คุณพ่อทราบถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ของคุณแม่หลังคลอด ว่าเหตุผลใดจึงมีอารมณ์แปรปรวน
1.จากข้อมูลแรกรับที่ตึกหลังคลอด สัญญาณชีพของมารดานี้เป็นอย่างไร จงอธิบาย และควรให้การพยาบาลอย่างไร
BP 120/88 mmHg ปกติ (120-139/80-88 mmHg)
PR 100 bpm. ปกติ (60-100 bpm.)
RR 18 bpm. ปกติ (12-20 bpm.)
BT 38°c มีไข้ต่ำ (36.5-37.5°c)
Pain score 7 คะแนน (ปวดมากที่สุด)
การพยาบาล
1.เช็ดตัวลดไข้ เพื่อเป็นการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย และวัดอุณหภูมิซ้ำหลังจากเช็ดตัว 30 นาทีเพื่อประเมินอาการไข้
2.ดูแลให้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อลดกระบวนการผลิตความร้อนในร่างกาย
3.แนะนำวิธีระบายความร้อนออกจากร่างกาย เช่น สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆโปร่งสบาย เพื่อให้ระบายความร้อนได้ดี
4.ดูแลให้ได้รับยาบรรเทาอาการปวดตามแผนการรักษา เพื่อบรรเทาอาการปวดบริเวณแผลฝีเย็บ
5.แนะนำวิธีบรรเทาความปวดโดยการเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น กำหนดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด
6.จัดสิ่งแวดล้อมให้ดูสบายตาปรอดโปร่ง เพื่อให้มารดารู้สึกผ่อนคลาย
2.มารดาปวดแผลฝีเย็บ pain score = 7 คะแนน
ควรให้การพยาบาลอย่างไร
ดูแลให้ได้รับยาบรรเทาอาการปวด Paracetamol เพื่อช่วยลดอาการปวดแผลฝีเย็บ
แนะนำให้มารดาลดแรงกดที่ฝีเย็บ โดยท่านั่งควรนั่งลงแก้มก้นด้านใดด้านหนึ่งหรือนั่งพับเพียบ ไม่ควรนั่งทับแผลฝรเย็บโดยตรง มารดาหลังคลอดควรหาห่วงยางเล็กๆหรือหมอนโดนัทรองนั่ง เพื่อไม่ให้แผลฝีเย็บถูกกดทับ ทำให้การไหลเวียนเลือดปกติ ส่งเสริมการหายของแผล และหลีกเลี่ยงท่านั่งที่ทำให้ขาหนีบแยกออกจากกัน เช่น ท่านั้งขัดสมาธิ เพราะจะทำให้แผลถูดดึงรั้งเกิดการเจ็บปวดเพิ่มยิ่งขึ้น
ประคบเย็นให้แก่มารดาใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยเฉพาะหลังเย็บแผลฝีเย็บเสร็จที่ความเย็น 10-14 องศาเซลเซียส โดยประคบนาน 15 นาที และประคบทุก 15 นาที การประคบเย็นเพื่อจะช่วยลดอาการบวม ลดความเจ็บปวดของแผลฝีเย็บ เพราะความเย็นจะทำให้เส้นเลือดบริเวณที่ประคบเกิดการหดรัดตัว และยังช่วยลดการนำกระแสประสาท ลดการถูกกระตุ้นของประสาทจึงทำให้ความเจ็บปวดลดลง
ใช้โคมไฟแสงอินฟาเรด ส่องที่แผลฝีเย็บโดยตรง ระยะห่าง 1 ฟุตครึ่ง อบนาน 15 นาที หรือทำการนั่งแช่น้ำอุ่น (hot seat bath) ควรทำหลังคลอด 3 วันเป็นต้นไป โดยนั่งแช่น้ำอุ่นวันละ 2 ครั้งๆละ 10-20 นาทีเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดี
แนะนำให้ทำ kegel exercise โดยการขมิบช่องคลอด พยายามขมิบค้างไว้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วคลาย หลังจากนั้นให้เพิ่มระยะเวลาให้ขมิบนานขึ้นสามารถขมิบได้นาน 8 ถึง 10 วินาทีต่อครั้ง โดยให้ขมิบ 8 ถึง 12 ครั้งต่อ 1 ชุด และ ปฏิบัติให้ได้ 3 ชุด ต่อ วัน เพื่อช่วยส่งเสริมการหายของแผลและช่วยให้กล้ามเนื้อรอบช่องคลอดและฝีเย็บหดรัดตัวดี
3.มารดามีแผลฝีเย็บบวมเล็กน้อย REEDA scale =2
ปกติหรือไม่อย่างไร จงอธิบายและควรให้การพยาบาลอย่างไร
ประคบเย็นให้แก่มารดาใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยเฉพาะหลังเย็บแผลฝีเย็บเสร็จที่ความเย็น 10-14 องศาเซลเซียส โดยประคบนาน 15 นาที
และประคบทุก 15 นาที การประคบเย็นเพื่อจะช่วยลดอาการบวม
4.จงอธิบายหลักการประเมินแผลฝีเย็บด้วย REEDA Scale ว่าประเมินอะไรบ้างและแปลผลอย่างไร
Redness: R ดูว่าแผลมีลักษณะสีชมพูดี แดงอักเสบทหรือแผลซีดขาวหรือไม่
Edema: E ดูว่าแผลบวมหรือไม่เป็นการบวมลักษณะบวมใสศ ซึ่งเกิดจากยาชาที่ฉีดให้กับมารดาก่อนการเย็บแผลหรือบวมช้ำเป็นสีม่วง กดเจ็บ
ซึ่งแสดงถึงการบวมจากการบาดเจ็บและมีเลือดออกบริเวณแผลฝีเย็บ
Ecchymosis: E ดูว่าแผลมีลักษณะช้ำหรือมีจ้ำเลือดหรือไม่
ซึ่งแสดงว่าอาจมีเลือดออกใต้ชั้นผิวหนังหรือใต้แผลฝีเย็บ
Discharge or Drainage: D ดูว่าแผลแห้งดีหรือมีสารคัดหลั่ง
เช่นน้ำเหลือง เลือด หรือน้ำหนอง ไหลซึมออกมาจากแผลหรือไม่
Approximation: A ดูว่าขอบแผลเรียบชิดหันหรือไม่
ดูว่าแผลแยกลึกถึงก้นแผลหรือไม่
6.มารดาบอกว่า "เมื่อทารกดูดนมข้างซ้ายจะมีน้ำนมไหลจากเต้านมข้างขวาด้วย เเละมีอาการปวดมดลูกขณะลูกดูดนม"
ควรให้คำแนะนำและการพยาบาลแก่มารดารายนี้อย่างไร
เมื่อทารกด๔ดนม จะเกิดการกระตุ้น Oxytocin ทำให้มดลูกมีการหดรัดตัว เเละเส้นเลือดมีการหดรดตัวทำให้เวลาทารกดูดนมมารดาจะปวดมดลูก
การพยาบาล
อธิบายให้มารดาทราบว่าเป็นปฎิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นได้ปกติ
แนะนำให้มารดาให้ทารกดูดนมบ่อยๆ ทุก 2-3 ชม.
เพื่อกระตุ้นให้นมไหลเพิ่มขึ้น
แนะนำวิธีการดูดนมอย่างถูกวิธีแก่มารดา มี 4 วิธีคือ
ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี ดูดเกลี้ยงเต้า
แนะนำให้มารดาทานน้ำเยอะๆและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เพื่อช่วยในการสร้างน้ำนม เช่น แกงเลียง แกงจืด ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
15.นักศึกษาคิดว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้มารดารายนี้
มีน้ำนมไหลน้อย
มารดามีภาวะเคลียด และไม่ให้ลูกดูดนม
เนื้อเยื่อสำหรับการผลิตน้ำนมน้อยหรือไม่เพียงพอ
มีปัญหาที่ฮอร์โมนหรือต่อไร้ท่อ
เคยผ่านการผ่าตัดเต้านม
การคุมกำเนิดโดยการใช้ยาคุมที่มีฮอร์โมน
การกินยาหรือสมุนไพรบางอย่าง
ลูกดูดนมลำบากหรือมีปัญหาทางกายวิภาค
17.ภายหลังคลอด 45 นาที พยาบาลนำทารกแรกเกิดไป
ดูดนมมารดา นักศึกษาคิดว่ามีความเหมาะหรือไม่อย่างไร
เหมาะสมเนื่องจาก หลังคลอดเป็นการกระตุ้นการดูดนมของทารก
คุณแม่ต้องให้นมบ่อย ๆ อย่างน้อย 8-12 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
และยิ่งบ่อยยิ่งดี ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ทารกได้"น้ำนมเหลือง"
เต็มที่ ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำนมให้มากขึ้น
และช่วยป้องกันปัญหาเต้านมคัดอักเสบด้วย
และยังช่วยให้มดลูกมีการหดรัดตัวได้ดีขึ้น
เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
18.ขณะที่มารดาแจ้งว่าไม่อยากให้ลูกดูดน้ำนมสีเหลือง
พยาบาลจะให้คำแนะนำมารดารายนี้อย่างไร
แนะนำและอธิบายถึงประโยชน์ของการให้ทารกได้ดูดนมเร็ว เนื่องจาก
น้ำนมสีเหลือง (colostrum) เป็นน้ำนมที่มีประโยชน์ เปรียบเสมือนวัคซีนชั้นดี ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายลูกให้แข็งแรง ในน้ำนมเหลืองมีภูมิคุ้มกัน
โรคต่าง ๆ อยู่มาก ที่สำคัญคือ แกมมาโกลบูลิน-จี ซึ่งทำหน้าที่ระงับการขยายตัว
ของเชื้อโรค ทั้งยังมีโปรตีน ซึ่งมีธาตุเหล็กที่เรียกว่า ทรานสเฟอร์ริน
ซึ่งช่วยนำธาตุเหล็กไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง
20.นักศึกษาจะกำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาลและการวางแผน
การพยาบาลแก่มารดาและทารก ในระยะ 6 สัปดาห์หลังคลอดรายนี้อย่างไร
ข้อวินิจฉัย
((Late or delayed PPH) หมายถึง การตกเลือดหลังจาก
คลอด 24 ชั่วโมงจนถึง 6 สัปดาห์หลังคลอด
เสี่ยงภาวะตกเลือดหลังคลอดภายหลัง จากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
การพยาบาล
สอนและให้คำแนะนำมารดาก่อนกลับบ้านเรื่องการคลึงมดลูก และการสั่งเกตความผิดปกติ เช่น มีเลือดสดออกมาเป็นจำนวนมาก หน้ามืด เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
ในมารดาหลังคลอดท้องหลังซึ่งการตึงตัวและหดรัดตัวของมดลูกไม่ดีเท่าท้องแรก จึงต้องเฝ้าระวังมากกว่าปกติ
ดูแลกระเพราะปัสสาวะให้ว่าง เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวได้ดี
แนะนำให้ดูแลความสะอาดอวัยเพศ ไม่สวนล้างช่องคลอด ล้างทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง ซับให้แห้งทันที
งดการมีเพศสัมพันธ์ควรงดจนกวาจะได้การตรวจหลงคลอดเมื่อครบ 4-6 สัปดาห์ และ Follow up ตามนัด
แนะนำให้มารดาทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น แกงเลียง และทานน้ำประมาณ 2,000-3,000ml เพื่อการเร่งน้ำนม
ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากมีสมาชิกใหม่
การพยาบาล
ส่งเสริมให้มารดาได้ สัมผัส อุ้มกอดและมองสบตาทารก ตั้งแต่แรกคลอด
พูดเชิญชวนให้มารดาชมเชยความน่ารักของบุตรตนเองบ่อย ๆ
เปิดโอกาสให้มารดาแสดงความรู้สึก พูดคุยและซักถามเกี่ยวกับทารก
ช่วยให้ทารกแรกเกิดได้ดูดนมมารดาโดยเร็ว
12.มารดารายนี้เกิดกลไกการสร้างและหลั่งน้ำนมหรือยัง จงอธิบาย
มีการสร้างกลไกและการหลั่งน้ำนมแล้ว โดยมีการเกิดทารกมีการดูดนมมารดา เมื่อทารกดูดที่หัวนทปลายประสาทรับความรู้สึกไปยัง hypothalamus
กระตุ้นให้ Pituitary gland หลัง Hormone Prolactin
ซึ่งเรียกว่าปฏิกิริยาสะท้อนในการสร้างน้ำนม (Prolactin reflex )
และเมื่อทารกดูดนมข้างซ้าย จะมีน้ำนมไหลจากเต้านมข้างกว่า
ซึ่งเกิดจากกลไกการหลั่งของน้ำนม let down reflex โดยเมื่อทารกดูดจะมีการกระตุ้นให้ Posterior pituitary gland หลั่ง hormone Oxytocin ออกมา
ทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่บุผนังของต่อมปลิตน้ำนมและท่อน้ำนมทำให้น้ำนมพุ่งออกมา
13.น้ำนมในระยะสองวันหลังคลอดอยู่ในระยะใด มีส่วนประกอบใดบ้าง
ระยะแรกเกิด ส่วนประกอบ โปรตีน สารระบบภูมิคุ้มกัน เกลือแร่ วิตามิน
โดยเฉพาะวิตามิน A วิตามิน K และสารช่วยในการเจริญเติบโต มีปริมาณไขมันและน้ำตาลต่ำกว่านมระยะหลัง ปริมาณโปรตีนที่สูงส่วนใหญ่
เป็นสาร immunoglobulin โดยเฉพาะ secretary IgA
14.พยาบาลจะเตรียมมารดารายนี้อย่างไร
เพื่อให้ทารกแรกเกิดได้รับน้ำนมมารดา
การประเมินหัวนมและลานหัวนม (Siriraj Areola Nipple Assessment : SANA)
การประเมินหัวนม
การวัดความยาวหัวนม จัดให้สตรีตั้งครรภ์อยู่ในท่านั่งหลังตรงจากนั้นคลึงหัวนม (nipple rolling)เบาๆประมาณ 5วินาทีก่อนตรวจวัด ใช้เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์หรือไม้บรรทัดวัด ความยาวหัวนม โดยให้วัดตั้งฉากกัลลานหัวนม เริ่มจากโคนหัวนมจนถึงยอดของหัวนมที่สูงที่สุด หน่วยเป็นมิลลิเมตร
การแปลผล หัวนมส้ัน หมายถึง ความยาวหัวนมส้ันกว่า 7.0 มิลลิเมตร โดยแบ่งความรุนแรง ออกเป็น 2 ระดับ
หัวนมส้ันไม่มากหมายถึงความยาวมากกว่าหรือเท่ากับ 4.0มิลลิเมตรแต่น้อยกว่า 7.0 มิลลิเมตร
หัวนมส้ันมาก หมายถึง ความยาวน้อยกว่า 4.0 มิลลิเมตร
แต่มากกว่า 1.0 มิลลิเมตร 1.2
การตรวจความผิดปกติของหัวนม แบ่งเป็น
หัวนมบอดหรือบุ๋ม หมายถึง หัวนมที่มีความยาวน้อยกว่า 1.0 มิลลิเมตร หรือบุ๋มลึกลง ไปจากลานหัวนม
pseudo-inverted nipple หมายถึง หัวนมที่ยื่นออกมาในสภาวะปกติ
แต่เมื่อทดสอบ โดยบีบบริเวณขอบนอกของลานหัวนมเข้าหากันด้วยนิ้วชี้
และนิ้วหัวแม่มือ (pinch test) พบว่าหัวนม บุ๋มลึกลงจากลานหัวนม
คล้ายปล่องภูเขาไฟ
Retracted nipple หมายถึงหัวนมมีการดึงร้ัง ทดสอบโดยใช้นิวชี้และนิ้วกัวแม่มือจับบริเวณหัวนมแล้วดึงขึ้น (nipple pulling) หากจับ ไม่ติดหรือดึงไม่ขึ้นแสดงว่าหัวนมมีการดึงร้ัง
การประเมินลานหัวนม เป็นการทดสอบดูความยืดหยุ่นของลานหัวนม เพื่อประเมินดูว่าทารกจะสามารถ อมลานหัวนมได้หรือไม่ เทคนิคการทดสอบให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ
จับบริเวณลานหัวนมแล้ว ยกขึ้น (areola compression) การแปลผลคือ
ลานหัวนมตึง หมายถึง ไม่สามารถใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับ
บริเวณลานหัวนมติดหรือ จับติดแต่ไม่สามารถดึงลานหัวนมขึ้นมาได้
ลานหัวนมมีความยืดหยุ่นดี หมายถึง สามารถใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจับบริเวณ
ลานหัวนมติดและสามารถดึงลานหัวนมขึ้นมาได้
8.มารดามีสีหน้าวิตกกังวล หงุดหงิดง่าย บางครั้งร้องไห้คนเดียว มารดารายนี้มีภาวะใด จงอธิบายและควรให้การพยาบาลอย่างไร
มีภาวะ Postpartum blues หรือ Baby blues เนื่องจากมารดามีอาการในข่วง 2 วันหลังคลอด ซึ่งยังไม่ถึง 2 สัปดาห์ จึงไม่จัดว่าเป็นื Postpartum depression และมารดามีสีหน้าวิตกกังวล หงุดหงิดง่าย บางครั้งร้องไห้คนเดียว แต่อาการเหล่านี้จะดีขึ้นเองและหายได้เองตามธรรมชาติ
การพยาบาล
1.การประเมินภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเพื่อลดและป้องกันภาวะซึมเศร้าของมารดาหลังคลอดได้อย่างทันการณ์
2.เปิดโอกาสให้มารดาได้ระบายความรู้สึกเพื่อให้มารดาได้ระบายความอึดอัด
3.ช่วยดูแลทารกเมื่อมารดายังไม่พร้อมในการดูแลบุตรหรือพบว่ามีอารมณ์เศร้า
4.จัดกิจกรรมกลุ่มเพื่อให้มารดาที่เคยซึมเศร้าหลังคลอดมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์
5.แนะนำแหล่งสนับสนุนช่วยเหลือในการดูแลตนเองและบุตร
เพื่อให้มารดาได้รับการช่วยเหลืออย่างเพียงพอ
9.เมื่อพยาบาลสอนวิธีการอาบน้ำทารก มารดาบอกว่า “ทำไม่ถูก กลัวลูกจมน้ำ”
การปรับตัวด้านจิตสังคมระยะหลังคลอดเหมาะสมหรือไม่อย่างไร จงอธิบาย
และควรให้การพยาบาลอย่างไร
ไม่เหมาะสม เนื่องจากมารดาอยู่ในช่วง 2 วันหลังคลอด ซึ่งในช่วงนี้จะอยู่ในระยะ Taking in phase เป็นระยะที่เริ่มเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดาหรือระยะพึ่งพา
มารดาจะยังมีความไม่สุขสบายจากการปวดแผลฝีเย็บอยู่ แต่มารดาก็ต้องเริ่มเรียนรู้
ในการดูแลทารก อาจจะมีการพึ่งพาในบางอย่างแต่ก็ต้องพยายามเรียนรู้ให้ได้
มากที่สุด เพื่อพัฒนาไปในระยะถัดไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การพยาบาล
1.ดูแลช่วยเหลือประคับประคองและตอบสนองความต้องการของมารดาหลังคลอดทั้งทางด้านร่างกายและด้านจิตใจ
เพื่อให้สุขภาพร่างกายและจิตใจกลับมาดีขึ้น
2.ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่อบอุ่นเห็นอกเห็นใจ เพื่อให้มารดาหลังคลอดมีความรู้สึกว่ามีผุ้สนใจเอาใจใส่ เกิดความอบอุ่นใจ
3.เปิดโอกาสให้มารดาได้ระบายความรู้สึกและซักถามเกี่ยวกับข้อสงสัยที่มารดามี เพื่อลดความวิตกกังวลในการดูแลทารก
4.จัดเวลาให้มารดาและทารกได้อยู่ด้วยกันโดยให้มารดาได้ฝึกอุ้มและสัมผัสตัวทารกเพื่อให้มารดาเกิดความผูกพันธ์และลดความวิตกกังวล
5.ปฏิบัติการพยาบาลด้วยความนุ่มนวลเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่มารดาในการดูแลทารก
11.จงสรุปการประเมินสุขภาพมารดาหลังคลอดด้วยหลักการ 12B
Background ศึกษาถึงภูมิหลังของมารดาสิ่งที่ต้องประเมิน
Body Condition ประเมินภาวะร่างกายทั่วไป
Body Temperature and blood pressure สัญญาณชีพ
Breast and Lactation เต้านมและการหลั่งน้ำนม
Belly and Fundus หน้าท้องและยอดมดลูก
Bladder กระเพาะปัสสาวะ
Bleeding & Lochia เลือดและน้้าคาวปลา
Botton ฝีเย็บและทวารหนัก
Bowel Movement การทำงานของลำไส้ประเมินจากการขับถ่ายอุจจาระใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
Blues ภาวะด้านจิตใจการปรับตัวของมารดา
Baby ทารกมีการประเมินและตรวจร่างกาย
Boning & Attachment ประ้มินสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
และพฤติกรรมท่บ่งชี้ถึงสัมพันธภาพที่ไม่ดี
16.พยาบาลจะใช้หลักการส่งเสริมการเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่เพื่อให้
เกิดความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่มารดารายนี้อย่างไร
1.ประเมินความพร้อมของมารดาและทารก หลีกเลี่ยงการเร่งรีบนำทารกมาดูดนมหรือการพยายามใส่หัวนมเข้าไปในปากทารกควรให้ทารกดูดนมแม่เมื่อพร้อม และแนะนำมารดาในการให้ทารกอมหัวนม (latch on)ให้ถูกต้องโดย
ทำอย่างนุ่มนวลไม่รีบเร่ง
จัดเวลาและบรรยากาศที่เงียบสงบเหมาะสมในการนำทารกมาดูดนม
3.ช่วยมารดาในการเลือกท่าในการให้นมที่สะดวกสบาย
4.ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับมารดา โดยให้กำลังใจและชมเชย
เมื่อมารดาทำได้ถูกต้อง
ชี้ให้มารดาเห็นพฤติกรรมที่ดีของทารก เช่น การตื่นตัว การพยายามค้นหาเต้านมของทารก หากวางทารกบนหน้าท้องหรือบนหน้าอกมารดา ทารกจะคลานเข้าหาเต้านมด้วยตนเอง ( breast crawl) และช่วยให้มารดาได้เรียนรู้สื่อสัญญาณที่แสดงว่าทารกหิว (feeding cues) เพื่อที่มารดาสามารถให้นมแก่ทารกได้ตามความต้องการของทารก
19.จากข้อมูลในระยะ 3 วันหลังคลอด นักศึกษาจะกำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาลและวางแผนการพยาบาลแก่มารดาและทารกรายนี้อย่างไร
ทารกมีอาการตัวเหลืองเนื่องจากได้รับนมแม่ไม่เพียงพอ
การพยาบาล
1.ประเมินอาการตัวเหลืองของทารก เพื่อประเมินความรุนแรงและ
เพื่อหาสาเหตุของอาการตัวเหลือง
2.จัดให้ทารกดูดนมแม่โดยเร็ว ดูดบ่อย และดูดอย่างถูกวิธี
เพื่อเป็นการขับบิลิรูบินออกจากลำไส้
3.แนะนำไม่ให้ทารกดูดน้ำเปล่าหรือกลูโคสเพราะจะทำให้
ดูดนมแม่น้อยลงและไม่ช่วยให้ระดับบิลิรูบินลดลง
4.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เพื่อประเมินความก้าวหน้าของการรักษา
มีภาวะหัวนมแตกเนื่องจากขาดความรู้และประสบการณ์การให้นมบุตร
การพยาบาล
อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้หัวนมแตกคือการอุ้มลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ลูกอมหัวนมไม่ลึกถึงลานนม
แนะนำให้บีบน้ำนมทาบริเวณหัวนมที่แตกแล้วปล่อยให้แห้งเอง
แล้วค่อยใส่ยกทรง เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
ช่วยให้อุ้มลูกได้ถนัดก่อนให้ลูกดูดนมแม่ เพราะการดูดนมแต่ละครั้งในระยะที่มี
หัวนมแตกแม่จะเจ็บมาก ถ้าแม่อุ้มได้ถนัดและสบายจะทำให้สร้างความมั่นใจ
สอนและช่วยจัดท่าอุ้มให้ลูกดูดนมแม่ โดยการสอน ท่าฟุตบอล
เพื่อทำให้ลูกอมหัวนมได้ลึกขึ้น
5.ให้ลูกดูดนมข้างที่ไม่เป็นแผล การที่ลูกดูดนมแรงในระยะแรก จะทำให้
Oxytocin reflex ทำงานได้ดี น้ำนมก็จะไหลดีขึ้น เมื่อย้ายลูกมาดูดข้า
งที่เป็นแผลน้ำนมก็จะไหลสะดวก มารดาหลังคลอดจะเจ็บน้อยลง
ช่วยให้ลูกอ้าปากกว้างที่สุด เคลื่อนศีรษะลูกเข้าหาเต้านมโดยเร็ว
เพื่อจะได้งับลานหัวนมลึกพอ เคลื่อนไหวมือทั้ง 2 ข้างที่จับเต้านมและมือที่ประคอง
บริเวณท้ายทอยลูก จนกว่าลูกจะดูดติดจึงปล่อยมือได้ เพื่อให้แม่ให้นมลูกได้ถูกวิธี
แนะนำให้บีบน้ำนมออกก่อนให้ลานนมนิ่ม เพื่อให้ลูกอมหัวนมได้ลึกถึงลานหัวนม
หลีกเลี่ยงการดูดถูกหัวนมที่แตก ไม่ควรใช้ครีมทาแผลที่หัวนมเพราะอาจทำให้แผลเป็น
แนะนำวิธีการถอนหัวนมจากปากอย่างถูกวิธี คือ ให้สอดนิ้วก้อย ลงไปที่มุมปากลูก
เพื่อให้อากาศเข้าไปช่วยคลายผนึกที่ลูกดูดติดอยู่กับหัวนม ทำให้มารดาหลังคลอด
ไม่เจ็บหัวนมและหัวนมไม่แตกเพิ่มขึ้น
9.ให้ญาติและสามีเข้ามามีส่วนร่วมในการให้นมบุตร เช่น การบีบน้ำนมทาบริเวณที่หัวนมแตก