Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรับผู้ป่วยใหม่และการจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล - Coggle Diagram
การรับผู้ป่วยใหม่และการจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล
ชนิดของการรับผู้ป่วยใหม่
การรับผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการรักษาพยาบาล ซึ่งจาแนกการผู้ป่วยรับใหม่ได้ออกเป็น 2 ประเภท (สุปาณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2558; Timby, 2012) ดังนี้
11.1.1 ผู้ป่วยใน (Inpatient) ระยะเวลาของการนอนพักรักษาในโรงพยาบาลมากกว่า 24 ชั่วโมง เช่น ผู้ป่วยโรคปอดบวม โรคหัวใจวาย ประสบอุบัติเหตุกระดูกหัก โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือ แตก โรคหอบ ได้รับสารพิษ ถูกไฟช็อต ถูกงูกัด เป็นต้น ประเภทของผู้ป่วยในประกอบด้วย
2) การรับแบบฉุกเฉิน (Emergency admission) เป็นการนอนพักรักษา ในโรงพยาบาลแบบไม่ได้วางแผนไว้ รักษาที่แผนกฉุกเฉินก่อนจนอาการคงที่จึงย้ายไปนอนพักรักษาตัว ที่หอผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก ได้รับอุบัติเหตุที่รุนแรง มีเลือดออกปริมาณมาก หมดสติ เป็นต้น
3) การรับโดยตรง (Direct admission) เป็นการนอนพักรักษาในโรงพยาบาลแบบไม่ได้ วางแผนไว้ ไม่ได้ตรวจที่แผนกฉุกเฉิน อาจตรวจที่แผนกตรวจผู้ป่วยนอก และรับเข้าพักที่หอผู้ป่วยโดยตรง เช่น ผู้ป่วยที่มีไข้สูงเป็นเวลานาน มีอาการปวดอย่างทรมาน ท้องเสีย อาเจียนอย่างต่อเนื่อง มีอาการเกร็ง หรือชักเป็นๆ หายๆ เป็นต้น
1) วางแผนเป็นผู้ป่วยในหรือกรณีไม่เร่งด่วน (Planned or Non-urgent) หรือเป็น ผู้ป่วยในตามปกติ เป็นการรับแบบที่มีการจัดตารางนอนผู้ป่วยไว้ล่วงหน้า เช่น ผู้ป่วยที่นัดมาทาการผ่าตัด นัดมาเข้ารับการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบาบัด ให้รังสีรักษา นัดมาผ่าตัดคลอด นัดมาตรวจวิเคราะห์โรค เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ป่วยบางรายอาจถูกเลื่อนนัดหากมีความจาเป็น
11.1.2 ผู้ป่วยนอก (Outpatient) ระยะเวลาของการอยู่ในโรงพยาบาลน้อยกว่า 24 ชั่วโมง เช่น กลุ่มที่มาตรวจเป็นครั้งๆ ที่แผนกตรวจผู้ป่วยนอก เมื่อตรวจเสร็จแล้วแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ หรือกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดเล็ก การให้ยาเคมีบาบัดแบบเป็นครั้งๆ เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มหลังนี้เป็นประเภท นอนสังเกตอาการ จาเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดระยะเวลาหนึ่งภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อมีอาการดีขึ้นก็ให้กลับบ้านได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจพิจารณาให้รับไว้เป็นผู้ป่วยใน เช่น ผู้ป่วย
หลักการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาล
11.2.1 ความแปลกใหม่ต่อสถานที่ สิ่งแวดล้อม บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ของโรงพยาบาล และการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน รวมถึงข้อระเบียบปฏิบัติต่างๆ ของโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ แปลกใหม่สาหรับผู้ป่วย จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องช่วยผู้ป่วยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง โดยการอธิบาย และแนะนาถึงข้อปฏิบัติตัวต่างๆ ที่ผู้ป่วยต้องการทราบ และให้คาแนะนาที่เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วย เช่น ระเบียบเวลาเยี่ยม การใช้กริ่งเมื่อต้องการความช่วยเหลือ แนะนาสถานที่ให้ผู้ป่วยและญาติทราบ เป็นต้น
11.2.2 ความกังวลต่อความเจ็บป่วย พยาบาลช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยได้โดยบอกให้ ผู้ป่วยทราบถึงโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ การพยากรณ์โรค และการรักษา หากคาถามใดที่ไม่สามารถที่จะตอบ ผู้ป่วยได้ เนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษากับผู้เกี่ยวข้องกับคาถามนั้นโดยตรง นอกจากนั้นขณะอยู่ต่อหน้าผู้ป่วย ไม่ควรพูดศัพท์ทางการแพทย์หรือภาษาอังกฤษที่ผู้ป่วยไม่เข้าใจ เพราะจะทาให้ผู้ป่วยยิ่งกังวลมากขึ้น
11.2.3 ประสบการณ์ในอดีตมีความสาคัญต่อการแสดงออกของผู้ป่วย พยาบาลควรจะพูดคุย กับผู้ป่วยโดยการซักถามถึงประสบการณ์ในอดีตในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และพยาบาล และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ของโรงพยาบาล จะทาให้ทราบทัศนคติของผู้ป่วยเพื่อนาข้อมูลที่ได้มา มาใช้ในการวางแผนการให้การพยาบาลต่อไปได้ดียิ่งขึ้น
11.2.4 การคานึงถึงความเป็นบุคคลของผู้ป่วย พยาบาลจะต้องให้เกียรติผู้ป่วยตาม ความเหมาะสม ซึ่งการเรียกผู้ป่วยควรเรียกชื่อ และมีคานาหน้านามที่เหมาะสม ไม่ควรเรียกผู้ป่วยโดยใช้ หมายเลขเตียง และควรมีคาลงท้ายที่เหมาะสมโดยเฉพาะผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ จะต้องบอกให้ผู้ป่วยทราบ ทุกครั้งเมื่อจะให้การพยาบาล หากเป็นไปได้ควรให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการวางแผนการพยาบาลของตน
11.2.5 ความเชื่อและพฤติกรรมต่างๆ เป็นของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีความแตกต่าง ในด้านนิสัยและการแสดงพฤติกรรม ตลอดจนความเชื่อที่เป็นของตนเอง เมื่อผู้ป่วยเข้ามาอยู่ ในโรงพยาบาลจะต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับระเบียบปฏิบัติของโรงพยาบาล จนสามารถปรับตัวได้ หากผู้ป่วยมีความเชื่อที่แปลกไปแต่ไม่ทาให้เกิดอันตราย พยาบาลควรยอมรับไม่แสดงความดูถูก หรือหัวเราะเยาะ ควรให้ความเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วย
11.2.6 การวางแผนให้การพยาบาลโดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตและการซักถามต่างๆ โดยวางแผนการพยาบาลตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล แผนการพยาบาลจะเปลี่ยนแปลง เมื่ออาการหรือปัญหาของผู้ป่วยเปลี่ยน จะมีประสิทธิภาพหากผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการวางแผนด้วย
วัตถุประสงค์และขั้นตอนการรับผู้ป่วยใหม่
11.3.1 วัตถุประสงค์ เพื่อให้
3) ผู้ป่วยได้รับการประเมินปัญหาและความต้องการทางร่างกาย และจิตสังคม
ได้ถูกต้อง
4) ผู้ป่วยและญาติคลายความวิตกกังวล เต็มใจและให้ความร่วมมือใน การรักษาพยาบาล
2) ผู้ป่วยมีเครื่องใช้ที่จาเป็นในการรักษาพยาบาล เหมาะสม ครบถ้วน
5) ผู้ป่วยมีความปลอดภัยและสุขสบายเพิ่มขึ้น
1) ผู้ป่วยและญาติมีความรู้และปฏิบัติตามกฎระเบียบและกิจวัตรของโรงพยาบาล ได้อย่างถูกต้อง
6) ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพความเจ็บป่วย
11.3.2 การเตรียมอุปกรณ์ เมื่อได้รับแจ้งจากแผนกผู้ป่วยนอกในการรับผู้ป่วยเข้ารักษาไว้ใน
โรงพยาบาล พยาบาลควรดาเนินการดังนี้
3) อุปกรณ์ที่จาเป็นตามความเหมาะสมสาหรับผู้ป่วยแต่ละราย เช่น เสื้อผ้าชุด โรงพยาบาล ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า เหยือกใส่น้าและแก้วน้า อ่างน้า ชามรูปไต ถังขยะ กระบอกปัสสาวะหรือหม้อนอน เสาน้าเกลือ อุปกรณ์ให้ออกซิเจน อุปกรณ์ดูดเสมหะ เป็นต้น
5) สมุดบันทึกการรับใหม่
2) เอกสารรายงานการรับผู้ป่วยใหม่หรือแบบบันทึกต่างๆ ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละ โรงพยาบาล เอกสารหรือแบบบันทึกต่างๆ ประกอบด้วย (สุปาณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2558)
(2)แบบบันทึกต่าง ๆ สาหรับจัดทาแฟ้มผู้ป่วย ประกอบด้วย แบบบันทึกคาสั่ง แผนการรักษาแพทย์ แบบบันทึกสัญญาณชีพและระดับความปวด แบบบันทึกปริมาณสารน้าเข้าออก ร่างกาย แบบประเมินภาวะสุขภาพ แบบบันทึกแผนการพยาบาล
(3)แบบบันทึกคาร์เดกซ์ (Nursing kardex) ซึ่งบางสถาบันอาจไม่ใช้แล้ว เป็นเหมือนบันทึกสั้นๆ ของพยาบาลที่บันทึกการรักษา การพยาบาล และกิจกรรมต่างๆ ที่จะให้การดูแล ผู้ป่วย ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วย การรักษา และการพยาบาลที่เป็นแบบวันต่อวันหรือ ให้ต่อเนื่อง รวมทั้งยาที่ให้ผ้ป่วยแบบวันต่อวัน เมื่อจาเป็น หรือให้ต่อเนื่อง
(1)แบบตรวจสอบการเข้าพักรักษาในโรงพยาบาล (Admission checklist) ในบางแห่งอาจเรียก แบบตรวจสอบการรับผู้ป่วยใหม่ (Flow sheet) จะช่วยให้การรับผู้ป่วยทาได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น
6) เครื่องใช้ส่วนตัว บางโรงพยาบาลอาจมีเตรียมไว้ให้สาหรับผู้ป่วย กรณีไม่มีให้ อาจแจ้งให้ผู้ป่วยหรือญาติเตรียมมาให้พร้อม เช่น สบู่ ครีมทาตัว แป้ง หวี แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แชมพูสระผม กระดาษชาระ ผ้าอ้อม เป็นต้น
1) เตรียมเตียงหรือห้องพักผู้ป่วยให้พร้อมเพื่อต้อนรับการพักรักษาตัวของผู้ป่วย
การที่เตรียมเตียงหรือห้องไม่พร้อมจะทาให้ผู้ป่วยและญาติมีความรู้สึกไม่อยากนอนพักรักษาในสถานที่นั้น หรือไม่ประทับใจและอาจส่งผลต่อสัมพันธภาพเชิงการรักษาระหว่างพยาบาล ผู้ป่วย และญาติได้ (Carter, 2012; Timby, 2012)
4) เครื่องมือตรวจสัญญาณชีพ น้าหนักและส่วนสูง ได้แก่ เทอร์โมมิเตอร์ เครื่องวัดความดันโลหิตและหูฟัง นาฬิกาที่มีเข็มวินาที เครื่องชั่งน้าหนักและวัดส่วนสูง
11.3.3 ขั้นตอนการรับผู้ป่วยใหม่
1) เตรียมสิ่งแวดล้อมเพื่อรับผู้ป่วยใหม่โดย นาเหยือกน้า แก้วน้า กระโถน ปรอทวัดไข้
เครื่องวัดความดันโลหิต หูฟัง และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จาเป็นสาหรับผู้ป่วยเฉพาะราย เช่น อุปกรณ์สาหรับ ให้ออกซิเจน เครื่องดูดเสมหะ ที่แขวนปัสสาวะ ไปวางไว้ที่เตียงและโต๊ะข้างเตียง เสื้อผ้า ผ้าถุง กางเกง ไว้ที่ปลายเตียง เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการใช้
2) สร้างสัมพันธภาพ ให้การต้อนรับผู้ป่วยและญาติด้วยถ้อยคา สีหน้า แววตา กิริยาท่าทางที่เป็นมิตร สุภาพ อ่อนโยน สนใจ เข้าใจ เห็นใจ ยอมรับในตัวผู้ป่วยและญาติ ใช้ถ้อยคา ที่เหมาะสมกับวัย ยศ และตาแหน่งหน้าที่ เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติลดความกลัว วิตกกังวล และเกิดความอบอุ่น ไว้วางใจ รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
3) ตรวจสอบชื่อ นามสกุลของผู้ป่วย การลงทะเบียนรับเป็นผู้ป่วยใน และลายเซ็น รับผู้ป่วยของแพทย์จากบัตรตรวจโรคของโรงพยาบาลให้ตรงกับเจ้าหน้าที่แผนกผู้ป่วยนอกที่แจ้งมา
4) ชั่งน้าหนัก และวัดส่วนสูง ตามสภาพอาการของผู้ป่วย ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว หรือไม่สามารถยืนได้ ไม่ต้องชั่งน้าหนักและวัดส่วนสูงนอกจากจะมีเครื่องชนิดนอนชั่ง เพื่อเป็นข้อมูล พื้นฐานในการรักษาพยาบาล และเป็นการประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
5) นาผู้ป่วยไปที่เตียง แนะนาให้รู้จักผู้ป่วยอื่นที่อยู่ร่วมห้อง และให้นอนพักสักครู่
6) วัดอุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ และความดันโลหิตเพื่อเป็นการประเมินสภาพแรกรับ
ไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน
11.3.4 การรับแผนการรักษา เป็นกระบวนการถ่ายทอดแผนการรักษาจากแผ่นคาสั่งการ
รักษาไปสู่การปฏิบัติ แม้ว่าพยาบาลจะมิใช้ผู้ปฏิบัติทุกเรื่องในแผนการรักษา แต่พยาบาลเป็นผู้รับผิดชอบ ในการรับแผนการรักษา ประสานงาน และติดตามการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนการรักษาอย่างครบถ้วน
2) อุปกรณ์ประกอบด้วยแผ่นคาสั่งการรักษาใบรับคาสั่งแผนการรักษาใบบันทึกการ ให้ยา ป้ายสาหรับติดขวดสารละลาย ปากกา
1) วัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดแผนการรักษาไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
3) วิธีการรับแผนการรักษา
(1) อ่านแผนการรักษาทั้งเฉพาะวันและตลอดไปให้เข้าใจโดยตลอด หากสงสัยหรือ
เขียนไม่ชัดเจนให้ถามแพทย์ผู้กาหนดแผนการรักษา รวมทั้งตรวจสอบใบคาขอส่งตรวจที่แพทย์ต้องเป็น ผู้บันทึกว่าครบถ้วนหรือไม่
(2) กรอกรายละเอียดแผนการรักษาในใบรับคาสั่งแผนการรักษา (แตกต่างกันไป แต่ละสถานพยาบาล) ใบบันทึกการให้ยา
(3) หากมีคาสั่งแผนการรักษาให้สารละลายทางหลอดเลือดดาให้เขียนป้ายสาหรับ ติดขวดสารละลายตามจานวนที่แพทย์กาหนด
(4) ปฏิบัติตามแผนการรักษา พร้อมทั้งทาเครื่องหมายหรือบันทึกชื่อผู้ทาในใบรับ คาสั่งแผนการรักษา และ/ หรือใบบันทึกการให้ยา เพื่อทราบวันเวลาที่ได้ปฏิบัติการนั้นๆ รวมทั้งป้องกัน การซ้าซ้อนในการปฏิบัติพยาบาลอีกด้วย
สาเหตุและอุปกรณ์การจาหน่ายผู้ป่วย
การจาหน่ายผู้ป่วย หมายถึง การจาหน่ายผู้ป่วยออกจากหอผู้ป่วย โดยแบ่งประเภทการ จาหน่ายผู้ป่วย วัตถุประสงค์การจาหน่ายผู้ป่วย อุปกรณ์ และขั้นตอนการจาหน่าย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
11.4.1 ประเภทการจาหน่ายผู้ป่วย แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
3) การจาหน่ายเนื่องจากผู้ป่วยหนีกลับ ในกรณีผู้ป่วยหนีกลับจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ พยาบาลเพื่อทาการบันทึกไว้เป็นหลักฐานในฟอร์มใบบันทึกทางการพยาบาล และแจ้งเหตุที่จาหน่าย เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในการปฏิบัติการให้การพยาบาล
4) การจาหน่าย เนื่องจากผู้ป่วยถึงแก่กรรม ผู้ช่วยพยาบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือ ในการให้ข้อมูล ตั้งแต่แรกรับถึงอาการรุนแรง การช่วยเหลือของแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และ การลงความเห็นของแพทย์ว่าไม่มีสัญญาณที่แสดงว่าผู้ป่วยมีชีวิตอยู่
2) การจาหน่ายโดย ไม่สมัครอยู่พยาบาลจะต้องอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผู้ป่วย แพทย์จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น และต้องเซ็นชื่อเป็นหลักฐานไว้ว่าไม่สมัครใจ อยู่ในใบเซ็นไม่สมัครใจรับการรักษา
5) การจาหน่ายผู้ป่วยเนื่องจากมีการส่งต่อให้ไปรับการดูแลรักษายังสถานบริการสุขภาพ อ่ืน หากการจาหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลนั้น ผู้ป่วยจาเป็นต้องได้รับการดูแลหรือบริการจาก สถานบริการสุขภาพอื่น ๆ การจาหน่ายผู้ป่วยต้องจัดการให้มีการส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานบริการสุขภาพ ที่เหมาะ ซึ่งรวมถึงการแนะนาสถานบริการสุขภาพที่ผู้ป่วยจะได้รับบริการ การให้ข้อมูลต่างๆ
1) การจาหน่ายผู้ป่วยเมื่อมีอาการทุเลาลงจากภาวะที่อันตราย ฟื้นหายจากโรค ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตจากแพทย์ผู้ทาการรักษาเป็นลายลักษณ์อักษรจึงจะจาหน่ายได้
11.4.2 การจาหน่ายผู้ป่วย มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
3) เพื่อให้ผู้ถึงแก่กรรมได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม และความเชื่อ
ทางศาสนา
4) เพื่อให้ผู้ถึงแก่กรรมมีร่างกายสะอาด อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด อยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่สงบเรียบร้อย
2) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง
5) เพื่อได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
1) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
11.4.3 อุปกรณ์ในการจาหน่ายผู้ป่วย ประกอบด้วย
4) บัตรประจาตัวของโรงพยาบาล
5) ใบนัด
3) เสื้อผ้าผู้ป่วย
6) ใบสั่งยา
2) สมุดจาหน่ายผู้ป่วย
7) กรณีถึงแก่กรรมให้เตรียมเครื่องใช้ในการอาบน้า สาลี ก๊อซ บัตรติดข้อมือศพด้วย
1) รายงานผู้ป่วยทั้งหมด
11.4.4 ขั้นตอนจาหน่ายผู้ป่วย การจาหน่ายผู้ป่วยกรณีแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน และการจาหน่ายผู้ป่วยเมื่อถึงแก่กรรม
บทบาทพยาบาลในการวางแผนจาหน่ายผู้ป่วยตามรูปแบบ D-M-E-T-H-O-D
การรับผู้ป่วยใหม่เพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อ ส่งเสริมการปรับตัวของผู้ป่วยเมื่อเข้ามาอยู่โรงพยาบาลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังต้องมีการวางแผนการ จาหน่ายผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย เนื่องจากการวางแผนการจาหน่ายผู้ป่วยตั้งแต่การเข้ารับการรักษาในวันแรกๆ นั้นเป็นการเตรียมผู้ป่วยให้พร้อมในการดูแลตนเอง รวมถึงการเตรียมผู้ดูแลและชุมชนให้พร้อมในการดูแล ช่วยเหลือ เพื่อดูแลการเจ็บป่วยและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ในระยะที่มีการเปลี่ยนผ่าน การดูแลจากหน่วยบริการสุขภาพไปสู่หน่วยบริการสุขภาพอื่นหรือการดูแลตนเองที่บ้าน ความสาเร็จของ การวางแผนจาหน่ายไม่ใช่การจาหน่ายผู้ป่วยออกจากสถานบริการได้เร็ว แต่หมายถึง การมีความพร้อม ในการเปลี่ยนผ่านการดูแลที่มีผลลัพธ์ คือ คุณภาพชีวิตที่ดี การทางานเป็นทีมของสถานบริการสุขภาพ ทุกระดับ ตลอดจนบริบทของผู้ป่วยเป็นปัจจัยที่สาคัญในการวางแผนจาหน่าย
การวางแผนจาหน่าย (Discharge planning) เป็นการวางแผนและจัดสรรบริการในการ ดูแลรักษาผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลต่อเนื่องหลังการจาหน่ายอย่างเป็นระบบ องค์รวม มีการประสานของ ทีมสหสาขาวิชาชีพในการสนับสนุนและเสริมพลังผู้ป่วยและครอบครัวเป็นรายกรณี รวมทั้งมีการส่งเสริม การใช้ทรัพยากรทางสุขภาพที่เหมาะสม เพื่อเตรียมการให้ผู้ป่วย ครอบครัว ผู้ดูแล และ/ หรือชุมชน สามารถให้การดูแลสุขภาพได้ด้วยตนเองอย่างมั่นใจ ปลอดภัย และพึงพอใจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง 2) พัฒนาศักยภาพในการดูแลตนเองของผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล 3) ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล 4) ส่งเสริมการใช้แหล่งประโยชน์ ที่จาเป็น และ 5) ควบคุมค่าใช้จ่ายของสถานพยาบาล (นีรชา บุญมาตย์ และ อธิษฐาน ชินสุวรรณ, 2557; ยุพาพร หัตถโชติ, 2560)
ข้อบ่งชี้และการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาภายหลังผู้ป่วยถึงแก่กรรม
11.6.2 Livor mortis เมื่อการไหลเวียนเลือดหยุด ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้าๆ (Bluish
purple) ตามบริเวณส่วนล่างของร่างกาย ซึ่งเป็นผลจากเม็ดเลือดแดงถูกทาลาย และตกตะกอนตาม แรงดึงดูดของโลก เช่น ถ้าตายในท่านอนหงาย บริเวณหลัง แก้มก้น และด้านล่างของแขน ขา จะมีสีเข้มไป จากเดิม เป็นต้น ยกเว้น บริเวณที่ถูกกดทับจะซีดขาวบริเวณใกล้เคียงและเป็นไปตามรูปของสิ่งที่กดทับอยู่ เช่น รอยเข็มขัด เสื้อใน ล้อรถยนต์ เป็นต้น Livor mortis เกิดทุกรายภายหลังตายประมาณ 5 ชั่วโมง และเกิดเต็มที่หลังตายประมาณ 12 ชั่วโมง และจะคงอยู่ตลอดไปจนกว่าศพจะเน่า ประโยชน์ของ Livor mortis คือ บอกเวลาตาย บอกสภาพเดิมของศพ และบอกสาเหตุการตาย
11.6.3 Rigor mortis คือ การแข็งทื่อของร่างกายหลังเสียชีวิต ประมาณ 2-4 ชั่วโมง เกิด จากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อโครงกระดูก และกล้ามเนื้อเรียบ เพื่อป้องกันศพผิดรูปร่าง หลังจากผู้ป่วย เสียชีวิต พยาบาลจะต้องปิดเปลือกตา ปิดปาก และจัดให้ศพอยู่ในท่าที่เป็นธรรมชาติทันทีเท่าที่จะทาได้
11.6.1 Algor mortis อุณหภูมิของร่างกายลดลง 1◦C (1.8◦F) ต่อชั่วโมงจนเท่าอุณหภูมิห้อง
เนื่องจากการไหลเวียนเลือดหยุด และ Hypothalamus หยุดทางาน
การพยาบาลภายหลังผู้ป่วยถึงแก่กรรม ตามประเพณี และศาสนาของผู้ป่วย
11.7.1 การพยาบาลภายหลังถึงแก่กรรม
เพื่อเป็นการเตรียมผู้ตายก่อนญาติเข้าไปดูศพ พยาบาลจะต้องเก็บอุปกรณ์การรักษาทุกชนิด ออกจากศพ และทาการแต่งศพให้เรียบร้อย ซึ่งการแต่งศพมีวัตถุประสงค์ และขั้นตอน ดังนี้
2) วัตถุประสงค์ของการแต่งศพ มีดังนี้
(2) ดูแลจัดการตามข้อกฎหมาย กฎระเบียบของโรงพยาบาลและ
ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมเชื้อชาติ ศาสนาของผู้ตาย
(3) ดูแลจัดเก็บของใช้ ของต้องทิ้งหรือทาลายได้ถูกต้อง
(1) เตรียมศพให้สะอาด เรียบร้อยพร้อมย้ายไปยังห้องศพ
(4) ประสานงานหน่วยงานหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้อง
(5) เขียนบันทึกรายงานที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้อง
3) ขั้นตอนการแต่งศพ
(10) ปิดปากและตาทั้ง 2 ข้างให้สนิท
(5) เก็บอุปกรณ์การรักษาพยาบาลทุกชนิดออกจากศพ ของบางอย่างที่ไม่ใช้ นาออกไปแช่น้ายา เตรียมล้างทาความสะอาด หรือส่งซักให้ถูกต้อง
(4) จัดสถานที่และสิ่งแวดล้อม กั้นม่าน/ ฉากให้เรียบร้อย ไขเตียงราบเอา ของใช้ต่างๆ บนเตียงเก็บให้เรียบร้อย
(6) สวมถุงมือ
(3) เตรียมอุปกรณ์ เช่น ชุดทาความสะอาดร่างกาย เสื้อผ้าชุดใหม่ ชุดทาแผล ชุดของใช้แต่งศพ สาลี ก๊อซ ถุงมือ 1-2 คู่ ป้ายผูกข้อมือ เป็นต้น
(7) ถ้ามีฟันปลอม ตาปลอมต้องรีบใส่ เพราะหากใส่ช้านานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ขากรรไกร คอคางจะแข็งจะใส่ฟันปลอมยาก การฟันปลอมให้โดยเร็ว ช่วยให้ส่วนคางคงรูปเหมือนเดิม
(2) ล้างมือก่อนจัดเตรียมของใช้
(8) ถ้ามีแผลต้องตกแต่งแผลให้เรียบร้อย
(1) อธิบายให้ญาติผู้ป่วยเข้าใจ เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต พยาบาลมีหน้าที่ดูแลทา ความสะอาดร่างกาย และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่ศพ หากญาติมีความประสงค์จะให้ศพแต่งกายหรือประดับ
ตกแต่งศพอย่างไรสามารถแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่พยาบาลได้
(9) จัดศพให้นอนหงายดูคล้ายคนนอนหลับ และควรจัดแขนขาให้เหยียดตรง โดยเร็วหากจัดแขนขานานกว่า 2 ชั่วโมง กล้ามเนื้อบางส่วนจะเริ่มแข็ง
(11) ใช้สาลีหรือก๊อซอุดอวัยวะต่าง ๆ ที่มีน้าคัดหลั่งหรือเลือดไหลออกมา เช่น ปาก จมูก หู ช่องคลอด ทวารหนัก (ปัจจุบันหลายสถาบันไม่นิยมก็ไม่ต้องใช้) เป็นต้น
(12) เช็ดตัวให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่
(13) ผูกป้ายชื่อที่ข้อมือ
(14) คลุมผ้าจากปลายเท้าถึงระดับไหล่ เก็บของใช้ต่างๆ ของผู้ป่วยส่งคืนให้แก่ญาติ
(15) ถอดถุงมือ ล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้ง
(16) ให้ศพอยู่ในหอผู้ป่วยประมาณ 2 ชั่วโมง จึงเคลื่อนย้ายศพไปห้องเก็บศพพร้อมใบส่งศพ
(17) ข้อควรคานึงในการแต่งศพ ควรพิจารณาร่วมกับญาติผู้ป่วย เช็ดร่างกายให้สะอาด เปลี่ยนผ้าใหม่ตามประเพณีของญาติ หากต้องการแต่งหน้า อย่าแต่งหน้า
ให้เข้มเกินไป และปัจจุบันไม่ต้อง Pack สาลีในอวัยวะต่างๆ เป็นการปฏิบัติคล้ายดูแลให้นอนหลับสบาย
1) การแต่งศพ หมายถึง การดูแลศพให้เรียบร้อยพร้อมเคลื่อนย้ายไปยังห้องศพ การแต่งศพจะต้องคานึงถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของผู้ตาย โดยต้องศึกษาข้อมูลของผู้ตาย ข้อปฏิบัติจากญาติและให้ญาติได้มีส่วนร่วมด้วย
11.7.2 การพยาบาลภายหลังผู้ป่วยถึงแก่กรรมตามประเพณี และศาสนาของผู้ป่วย การปฏิบัติตามหลักศาสนาและประเพณีภายหลังถึงแก่กรรม คือ การอาบน้าแต่งตัวศพ
หลังจากตายแล้ว ซึ่งพิธีอาบน้าศพเป็นการทาให้ร่างกายสะอาดและแต่งตัวให้สมฐานะของผู้ตาย ซึ่งประเพณีไทยใช้วิธีการรดน้าศพเป็นการขอขมา
11.7.3 หลักปฏิบัติทางกฎหมายและระเบียบของโรงพยาบาล
ถ้าผู้ป่วยถึงแก่กรรมภายหลังที่รับเข้ารักษาในโรงพยาบาล กรณีที่เป็นอุบัติเหตุ ฆาตกรรม ให้แจ้งนิติเวช เพื่อหาสาเหตุการตาย แพทย์จะเป็นผู้เขียนใบมรณบัตร แล้วญาตินาไปแจ้งที่อาเภอภายใน 24 ชั่วโมง บางรายแพทย์ต้องการตรวจศพ (Autopsy) จะต้องได้รับอนุญาตจากญาติก่อน
3) นำใบมรณะบัตรไปแจ้งที่วัดเพื่อเผาศพ
4) ในกรณีขอเคลื่อนย้ายศพออกจากเขตหรือข้ามจังหวัด ให้นาใบมรณะบัตรไป แจ้งเทศบาลหรือที่ว่าการเขต
2) นาใบรายงานของแพทย์ไปแจ้งเทศบาลหรือที่ว่าการเขตท้องถิ่นที่ที่บ้านตั้งอยู่ เพื่อแก้ไขทะเบียนบ้านภายใน 24 ชั่วโมง และขอใบมรณะบัตร
5) ผู้ตายไม่สามารถทานิติกรรมใด ๆ ได้อีกต่อไป
1) นาหลักฐานต่างๆ เช่น บัตรประชาชน บัตรข้าราชการ สาเนาทะเบียนบ้านของ ผู้ตาย เป็นต้น มายื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ในหอผู้ป่วย