Hypertension AND Dyslipidemia
Ischemic strock
(Chronic Kidney Disease) ไตวายเรื้อรัง
พยาธิสภาพ
การวินิจฉัย
สาเหตุ
ความหมาย
โรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากการขาดเลือด (ischemic stroke) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ เกิดการตีบตันของหลอดเลือดขนาดใหญ่และหลอดเลือดขนาดเล็กในสมอง และเกิด จากการอุดตันของลิ่มเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด
- การอุดตันของหลอดเลือดสมองที่เกิดจากลิ่มเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ต้นกำเนิดของลิ่มเลือดดังกล่าวมักเกิดจากหัวใจ ภาวะหรือโรคหัวใจที่ทำ ให้เกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นพลิ้ว (atrial fibrillation) โรคลิ้นหัวใจ (vulvular heart disease) หรือจาก การใส่ลิ้นหัวใจเทียม และภายหลังการผ่าตัดหัวใจ การอุดตันของหลอดเลือดสมองที่เกิดจากสิ่งอุดกั้น อื่น ๆ ที่ลอยในกระแสเลือด เช่น ฟองอากาศ ชิ้นส่วนของไขมันที่เกิดภายหลังจากการได้รับบาดเจ็บ หรือกระดูกหัก เป็นต้น
- การตีบตันของหลอดเลือดในสมอง ส่วนใหญ่ มักจะมีความสัมพันธ์กับภาวะหลอดเลือด แข็งตัว (atherosclerosis) และความดันโลหิตสูง (hypertension) เป็นเวลานาน โดยภาวะหลอดเลือดแข็งตัวจะทำ ให้รูของหลอดเลือดแดงในสมองมีขนาดเล็กลง จนเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ การตีบตันหลอดเลือดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกแห่งของหลอดเลือดสมอง โดยจะพบมากที่บริเวณหลอดเลือดแดงส่วนกลาง (middle cerebral arteries)
ภาวะที่สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพออย่างเฉียบพลันเนื่องจากหลอดเลือดอุดตันหรือแตกทำให้เซลล์สมอง ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดไปเลี้ยง (ischemia) และเซลล์สมองตาย (infarction) (AHA, 2008)
มีสาเหตุเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้เลือดและออกซิเจนไม่สามารถไหลเวียนไปที่สมอง โดยการอุดตันเกิดขึ้นจากคราบพลัคไปเกาะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดจนตีบตัน และขัดขวางการไหลเวียนของเลือดจนทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง นอกจากนี้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก็ทำให้เกิดลิ่มเลือดและเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ ปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดสมองตีบ คือ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรค ไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง มา 15 ปี
ทั้งนี้ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองยิ่งจะเพิ่มสูงขึ้นหากมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น
ระวัติการรักษา ผู้ที่เคยมีอาการของภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) และหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน จะมีความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยเคยมีภาวะหลอดเลือดอุดตันมาก่อนแล้ว
ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีญาติพี่น้องใกล้ชิดป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น
อายุ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนในวัยอื่น ๆ แต่ก็อาจพบได้ในคนวัยอื่นได้ด้วยเช่นกัน
ผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุ อายุ 78 ปี
อาการและอาการแสดงของโรคหลอดเลือดสมอง
อาการ
สาเหตุ
ระยะของโรค
ความหมาย
พยาธิสภาพ
ร่างกายอ่อนแรง หรือมีอาการอัมพฤกษ์ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย และมีอาการเหน็บชาร่วมด้วย มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด หรือการเข้าใจคำพูดผิดเพี้ยน มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว และมีอาการบ้านหมุน สูญเสียการมองเห็นบางส่วน หรือเห็นภาพซ้อน มีอาการมึนงงอย่างรุนแรง
การซักประวัติและตรวจร่างกาย
การตรวจเลือด
การตรวจพิเศษ ต่างๆ
แพทย์จะซักประวัติการรักษา อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ และประวัติครอบครัวว่ามีญาติใกล้ชิดป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ จากนั้นแพทย์จะสอบถามอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย วัดความดันโลหิต ฟังเสียงหัวใจและการทำงานของหลอดเลือด
แพทย์อาจสั่งให้มีการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปทดสอบดูการก่อตัวของลิ่มเลือด ซึ่งหากระดับน้ำตาลในเลือดและสารเคมีต่าง ๆ ในเลือดเสียสมดุล การแข็งตัวของเลือดก็จะผิดปกติ
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) จะช่วยให้แพทย์เห็นภาพโดยรวมของสมอง และหากมีภาวะเลือดออกในสมอง ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งก่อนเอกซเรย์ แพทย์อาจฉีดสารย้อมสีเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือด เพื่อให้เห็นรายละเอียดของการไหลเวียนเลือดและสมองได้ดียิ่งขึ้น
การเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI) มีจุดประสงค์คล้ายการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่จะช่วยให้แพทย์เห็นรายละเอียดของสมองได้อย่างชัดเจนมากกว่า ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น
การตรวจอัลตราซาวด์หลอดเลือดแดงที่คอ (Carotid Ultrasound) เป็นการตรวจที่ช่วยให้แพทย์เห็นการก่อตัวของคราบพลัคจากไขมัน อันเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันและเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
การฉีดสีที่หลอดเลือดสมอง (Cerebral Angiogram) แพทย์จะสอดท่อไปยังหลอดเลือดสมองผ่านทางแผลเล็ก ๆ ที่ขาหนีบ จากนั้นจะฉีดสารย้อมสีเข้าไป และเอกซเรย์ วิธีนี้จะช่วยให้แพทย์เห็นระบบการไหลเวียนของเลือดไปยังคอและสมองได้มากขึ้น
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) วิธีนี้มักใช้ตรวจการทำงานของหัวใจ แต่ในหลายกรณีก็ช่วยระบุการการทำงานของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้ด้วยเช่นกัน หากพบว่ามีการอุดตันของหลอดเลือด หรือพบลิ่มเลือดก็สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองได้
ผลการตรวจ CT Scan
- Several lacunar infarctions at both corona radiata and right external capsule are possible. มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสมองขาดเลือดรุนแรงที่บริเวณ both corona radiata และ right external capsule
- No obvious large cerebral, or cerebellar infarction is detected. ตรวจไม่พบการอุดตันของ cerebral, or cerebellar
- Diffuse cerebral atrophy มีการฟ่อของสมอง
- Suggested right ethmoid, both sphenoid, and both maxillary sinusitis มีการอักเสบของ ไซนัส
มีการสั่งเจาะเลือดแรกรับได้แก่ CBC, BUN ,Cr, Electrolyte, PT, DTX
1 เดือนก่อนมาโรงพยาบาล เริ่มมีอาการอ่อนเพลีย อ่อนแรง เดินหรือเดินไม่ได้
1 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง มุมปากเบี้ยว อ่อนเพลียมากขึ้น ไม่เดิน
1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการ อ่อนเพลีย แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ลูกสาวจึงนำตัวส่ง
โรงพยาบาล
สาเหตุนอกไต
เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตต่ำ
Rhabdomyolysis
โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคของหลอดเลือดฝอยส่วนปลาย
การติดเชื้อในกระแสเลือด
การตั้งครรภ์
เนื่องจากไตจำเป็นต้องได้รับเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมากจากการบีบตัวของหัวใจซึ่งมีผลต่ออัตราการกรองและการทำหน้าที่ของไตความดันโลหิตสูงจึงทำให้เลือดมาเลี้ยงไตลดลงทำให้การทำหน้าที่ของไตผิดปกติเช่นกันความดันโลหิตสูงเกิดเนื่องจากหลอดเลือดแดงที่ไตตีบแข็งหรือขาดเลือดทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตลดลงและกระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนซินอัลโดสเตอโรนทำให้เพิ่มความดันโลหิตนอกจากนี้ความดันโลหิตสูงยังเกี่ยวข้องกับโรคของเนื้อไตเช่น Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyclonephritis เป็นต้นทำให้ไตขับน้ำและเกลือได้ลดลงมีการคั่งของน้ำและเกลือเพิ่มขึ้น
สารพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ เกิด Acute Tubular Necrosis
โรคที่เกิดจากไตเอง
นิ่ว
การอักเสบที่กรวยไต
ภาวะ ไตบวมน้ำ
การอักเสบของ กูเมอรูลัส
ภาวะที่มีการเสื่อมการทำงานของไตอย่างต่อเนื่อง ถูกทำลายเป็น ระยะเวลานานเป็นเดือนหรือปีซึ่งโรค ส่วนใหญ่มักจะทำให้ไตเสื่อมลงอย่างถาวรลงไม่สามารถกลับมาทำงานปกติได้ มีความผิดปกติทางพยาธิสภาพหรือมีตัวบ่งชี้ว่าไตถูกทำลายความผิดปกติของเลือดหรือปัสสาวะหรือการตรวจทางรังสีหรืออัตราการกรองของไตลดลงน้อยกว่า 60 มิลลิลิตร / นาที / พื้นผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตรเป็นเวลา 3 เดือนหรือมากกว่า 3 เดือน
ระยะที่ 3 eGFR 30 - 59 = มี Kidney injury แต่ GFR ลดลงพอสมควร
ระยะที่ 4 eGFR 15 - 29 = มี GFR ลดลงมาก
ระยะที่ 2 eGFR 60 - 80 = มี Kidney injury แต่ eGFR ลดลงบ้าง
ระยะที่ 1 eGFR > 90 = มี Kidney injury แต่ eGFR ยังปกติ
ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง
ระยะที่ 5 eGFR <15 = มีภาวะไตวายเรื้อรัง
มีอาการ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย คัน คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ปวดศีรษะ ปวดตามข้อกระดูก บวม เป็นตระคริว ชาปลายมือปลายเท้า ซีด นอนไม่หลับ หายใจลำบาก
1 เดือนก่อนมาโรงพยาบาล เริ่มมีอาการอ่อนเพลีย อ่อนแรง เดินหรือเดินไม่ได้
1 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง มุมปากเบี้ยว อ่อนเพลียมากขึ้น ไม่เดิน
ผู้ป่วยมีค่า eGFR 4.47 ml/min
1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการ อ่อนเพลีย แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ลูกสาวจึงนำตัวส่ง
โรงพยาบาล
ตรวจพบหน่วยไตถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง พบอาการปัสสาวะกลางคืน ความดันโลหิตสูง
อาจมีการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน ค่า BUN ยังปกติ
พบอาการปัสสาวะกลางคืน ความดันโลหิตสูง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย บวม
เกิดจากการเสื่อมของไตและการถูกทำลายของหน่วยไตมีผลให้อัตราการกรองทั้งหมดลดลงและการขับถ่ายของเสียลดลงปริมาณครีตินินและยูเรียไนโตรเจนในเลือดสูงขึ้นหน่วยไตที่เหลืออยู่จะเจริญมากผิดปกติเพื่อกรองของเสียที่มีมากขึ้นผลที่เกิดทำให้ไตเสียความสามารถในการปรับความเข้มข้นปัสสาวะปัสสาวะถูกขับออกไปอย่างต่อเนื่องหน่วยไตไม่สามารถดูดกลับเกลือแร่ต่างๆได้ทำให้สูญเสียเกลือแร่ออกจากร่างกายจากการที่ไตถูกทำลายมากขึ้นและการเสื่อมหน้าที่ของหน่วยไตทำให้อัตราการกรองของไตลดลงร่างกายจึงไม่สามารถขจัดน้ำเกลือของเสียต่างๆผ่านไตได้เมื่ออัตราการกรองของไตน้อยกว่า 10-20 มล. / นาทีส่งผลให้เกิดการคั่งของยูเรียในร่างกายเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
ไตเป็นอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนอีริโธรพอยอิตินซึ่งมีหน้าที่กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีไตเสื่อมจนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนนี้ได้พอทำให้ไม่มีตัวกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงผู้ป่วยจึงมีภาวะโลหิตจาง
การวินิจฉัย
ผู้ป่วยที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในสองข้อต่อไปนี้
ตรวจพบความผิดปกติอย่างน้อย 2 ครั้ง ในระยะเวลา 3 เดือน
ตรวจพบความผิดปกติทางรังสีวิทยา เช่น อัลตราซาวว์นพบถุงน้ำในไต
นิ่ว, ไตพิการ หรือไตข้างเดียว
ตรวจพบอัลบูมินในปัสสาวะ (albuminuria)
- ตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ (hematuria)
- มีความผิดปกติของเกลือแร่ (electrolyte) ที่เกิดจากท่อไตผิดปกติ
มีประวัติการได้รับผ่าตัดปลูกถ่ายไต
ตรวจพบความผิดปกติทางโครงสร้าง หรือทางพยาธิสภาพจากผลการเจาะเนื้อเยื่อไต
ผู้ป่วยมี eGFR < 60 ml/min/1.73 m ติดต่อกัน 3 เดือน
ผลตรวจ CBC ทางห้องปฏิบัติการ RBC Count 3.16 , Hb 19, Hct 27%, MCV(CBC) 73.1fL ,RBC Count 3.16 25 pg, Pltelet Count 82,000 cell/uL
RBC > 100
พบ Protein 2+ ในปัสสาวะ
ผู้ป่วยมีค่า eGFR 4.47 ml/min
ผลการบันทึก I/O
in put 1000cc
out put 100-300 cc
ผู้ป่วยชายไทย อายุ 78 ปี วัยผู้สูงอายุ
U/D = HT มา 15 ปี , DLP , CA prostate มา 10 ปี
cc : แน่หน้าอก หายใจเหนื่อย 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล
PI :1 เดือนก่อนมาโรงพยาบาล เริ่มมีอาการอ่อนเพลีย อ่อนแรง เดินไม่ได้
1 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง มุมปากเบี้ยว อ่อนเพลียกว่าเดิม
1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการ อ่อนเพลีย แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ลูกสาวจึงนำตัวส่ง โรงพยาบาล
Dx. Anemia (โลหิตจาง) , Ischemic stroke (สมองขาดเลือด) , Hyperkalemia (โพแทสเซียมในเลือดสูง)
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่บอกถึงภาวะซีด
Hb 19,
Hct 27%,
MCH(CBC) 25 pg,
Pltelet Count 82,000 cell/uL
RBC Count 3.16
MCV(CBC) 73.1fL
การรักษา
Azotemia มีปริมาณของ พวก N ,Cr, Uria เสียคั่ง
การรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต (renal replacement therapy)
ชะลอการเสื่อมอย่างรวดเร็วของไต (progressive)
การล้างไตทางช่องท้อง (peritoneal dialysis : PD)
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis)
การปลูกถ่ายไต (kidney transplantation: KT)
ควบคุมสมดุล กรด - ด่าง
ควบคุมอาหาร
ควบคุม อิเล็กโตไลต์
ป้องกันรักษาตามอาการ
ควบคุมสมดุลน้ำ
ปรับเปลี่ยน พฤติกรรม
ควบคุมความดันโลหิต
ระมัดระวังปัญหา เมตาบอลิซึม ของยา
ได้รับยา ขับปัสสาวะ Lasix 1x1 po pc
ได้รับยา Manidipine (10) ½ x1 oral pc
ได้รับ NaHCO3 5x3 po pc ,
ได้รับ CaCO3 (1.5) 1x2 po pc
ได้รับ NaHCO3 5x3 po pc
ได้อาหาร Soft diet BD (1.5:1) 200 ml x4 feed
ภาวะแทรกซ้อน
โลหิตจาง
ติดเชื้อ
โรคหัวใจและหลอดเลือด
ความดันโลหิตสูง
โรคกระดูกพรุน
Hb 19,
Hct 27%,
MCH(CBC) 25 pg,
Pltelet Count 82,000 cell/uL
MCV(CBC) 73.1fL ,
Gram’ s stain [Sputum] 22/08/2563
ตรวจ : mucoid
PMN 1+(< 1 cel1/LPF)
Squamous epithelium cell 4+ (>25 ce11s/LPF)
Gram positive cocci in pair 1+ (<1 ce11/OIF)
Gram positive baci11i 1+ (< 1 cel1/OIF)
Gram negative baci11i 1+ (< 1 ce11/OIF)
มีโรคประจำตัวเป็นโรค ความดันโลหิตสูง มา 15 ปี และไขมันในหลอดเลือดสูง
การรักษา
โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke) การรักษาจะเน้นไปที่การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ และป้องกันอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ยาบางชนิดจะต้องรีบใช้ทันทีเมื่อเกิดอาการ และใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ จนกว่าอาการจะเริ่มดีขึ้น แต่ยาบางชนิดอาจต้องใช้ต่อเนื่องในระยะยาว
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาลดความดันโลหิต
ยาต้านเกล็ดเลือด
ยาลดไขมันในเลือด
ยาละลายลิ่มเลือด
Manidipine (10) ½ x1 oral pc.
การผ่าตัดเปิดหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ (Carotid endarterectomy)
การผ่าตัดเพื่อกำจัดลิ่มเลือด (Thrombectomy)
ภาวะแทรกซ้อน
สูญเสียความทรงจำ และความสามารถในการคิดวิเคราะห์
ปัญหาทางด้านอารมณ์
พูดไม่ชัด หรือมีปัญหาในการกลืนอาหาร
อาการเหน็บชา
อาการอัมพฤกษ์
ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
ผู้ป่วยมีอาการ พูดไม่ชัด กลืนอาหารไม่ได้ จึงใส่ NG tube