Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Respiratory system ระบบทางเดินหายใจ, ชื่อ นางสาวสิริกร แสนจะบก รหัสนิสิต…
Respiratory system
ระบบทางเดินหายใจ
Upper airway
Lower airway
ระบบหายใจเป็นระบบที่ประกอบด้วยอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างเลือดกับอากาศ โดยรับออกซิเจนเข้าแล้วปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออก
หน้าที่สำคัญ คือ การรักษาความดันบางอย่างของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศของถุงลมและหลอดเลือดแดงให้อยู่ในระดับปกติ
โครงสร้างของระบบทางเดินหายใจ
1.ส่วนที่นำอากาศ(conducting portion)
คือ ท่อที่เป็นทางผ่สนอต่ไม่ได้แลกเปลี่ยนแก๊ส ได้แก่ จมูก,ปลอกคอ,กล่องเสียง,หลอดลม,ขั้วปอด,หลอดลมเล็ก
2.ส่วนที่ทำหน้าที่หายใจ(respiratory position)
คือ ส่วนทางผ่านที่ทำหน้าที่แลกเปลีายนแก๊ส
ได้แก่ หลอดลมฝอย,ท่อถุงลม,ถุงลม,ถุงลมเล็ก,
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ
จมูก (nose)
เป็นทางผ่านที่แรกของระบบทางเดินหายใจ
เส้นประสาทที่รับความรู้สึกจากจมูก คือ Olfactory nerve
เยื่อบุผิวของเซลล์รับกลิ่น จะเป็นแบบ pseudostratified ciliated columnar epithelium มีอยู่ 3 เซลล์ ได้แก่
1.เซลล์รับกลิ่น Olfactory cell เป็นไฟโบรบลาสต์ รูปกะสวยอยู่ระหว่างเซลล์ค่ำจุน นิวเคลียร์กลม เดนไดรต์จะยื่นไปที่ผิวและสิ้นสุดเป็นขนเล็กๆ เกิดการเคลื่อนไหว ส่วนแอกซอนไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
2.เซลล์ค้ำจุน Supporting cell
เป็นเซลล์รูปทรงกระบอก นิวเคลียร์รูปไข่และมีไมโครวิลไลที่พื้นผิว เซลล์เหล่านี้จะติดต่อกับเซลล์รับกลิ่นที่อยู่เคียงข้างโดย desmosome
3.เซลล์พื้นผิว basal cell
เป็นเซลล์รูปกรวยอยู่ที่ฐานของเซลล์รับกลิ่นและเซลล์ค่ำจุนเป็นตัวรับ
หลอดคอ Pharynx
เป็นท่อกล้ามเนื้อลาย รูปร่างคล้ายกรวย แบ่งหลอดคอได้ 3 ส่วน คือ
1.nasopharynx เป็นโพรงที่เปิดกว้างและเป็นทางผ่านของอากาศอย่างเดียว
2.Oropharynx เป็นทางผ่านของทั้งอากาศและอาหาร เยื่อบุผิวจะเป็นชนิดแบนๆเรียงตัวกันหลายชั้น
3.Laryngopharynx เป็นส่วนที่อยู่ด้านหลังของกล่องเเสียง เป็นทางผ่านของอาหาร
กล่องเสียง Larynx
Thyroid cartilage กระดูกธัยรอยด์
แผ่นสี่เหลียม 2 แผ่น ขวา-ซ้ายมารวมกันตรงกลางข้างหน้าทำเป็นเส้นยืานออกมา เรียกว่า ลูกกระเดือก
Cricoid cartilage กระดูกไครคอยด์
รูปร่างคล้ายแหวน ต่อกับหลอดลม
3.Epiglottis ฝาปิดกล่องเสียง
รูปร่างคล้ายใบไม้ เปิดกล่องเสียงเวลาพูดและปิดกล่องเสียงเวลากลืนอาหาร
Arytenoid
เป็นกระดูกคู่อยู่บนไครคอยด์ เป็นตำแหน่งยึดเกาะของพังผืน
Cornicluate cartilage
มี1คู่ อยู่บนยอดของ arytenoid cartilage
Cuneifrom cartilage
มีขนาดเล็กรูปร่างยาว วางอยู่ข้างหน้าของ corniclate cartilage
เส้นเสียงเทียม เกิดจากเยื่อบุที่บุต่อมาจากผิวด้านหลังของฝาปิดกล่องเสียง ดังนั้น เยื่อบุผิวจึงเป็นแบบเซลล์ทรงสูง เป็นขนเรียงตัวดูเหมือนหลายชั้นกับเซลล์กอปเลต(pseudo stratified ciliated columnar epithelium with oblet cell) ชั้น lamina propria จะพบต่อมขับน้ำเมือกจำนวนมาก ทำหน้าที่ป้องกันสิ่งแปลกปลอมไม่ให้ตกลงไปในกล่องเสียง
เส้นเสียงจริง เยื่อบุผิวเป็นเซลล์เรียงตัวกันหลายชั้น (Stratified spuamous epithelium) ชั้น lamina propria จะไม่พบ mixed gland บริเวณยอดจะมีเส้นเสียง (vocal ligament ) ความตึงและความหย่อยนั้นไม่สัมพันธ์กับความดังของเสียง เมื่อพังผืดตึงเสียงจะแหลม แต่ถ้าหย่อนเสียงจะทุ้ม
หลอดลม Trachea
หลอดลมเป็นท่อแข็ง มีความยืดหยุ่น ที่เกิดจากกระดูกอ่อนเรียงตัวเป็นวงคล้ายเกือกม้า (trachial ring)
ลักษณะทางจุลกายวิภาคของหลอดลม
มีชั้นต่างๆ ดังนี้
เซลล์เยื่อบุ
ใต้เยื่อบุผิวจะพบร่างแหของหลอดเลือดดำช่วยให้อากาศที่หายใจเข้าอุ่น เหมาะสมกับอุณหภูมิร่างกาย
ชั่นลามินโปรเปรีย(lamina propria)
มีเนื้อเยื่อน้ำเหลืองกระจายอยู่
ช้นซับมิวโคซา (submucosa)
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหลวง ไขมัน และต่อมสร้่งเมือกในจมูก
Fibrocartilaginous layer
เป็นชั้นที่พบกระดูกอ่อนฮัยอาลีน
ช้นนอกสุด (adventital)
เป็นชั้นของเนื้อเยื่ออกี่ยวพันชนิดทึบ
เส้นประสาทที่มาเเลี้ยง คือ แขนงของเส้นประสาทเวกัส และระบบอัตโนมัติ
เส้นเลือดที่มาเลี้ยง คือ แขนงของ subclavian artery
หลอดลมเล็ก (bronchi)
หลอดลมเล็กมีสองข้าง โดยด้านขวาจะสั้นและกระชันกว่าด้านซ้าย ดังนั้น สิ่งแปลกปลอมจึงมักตกลงสู่ด้านขวาได้ง่าย
การแยกแขนงของท่อลมเล็กลงจะมีการเปลียนแปลงของเนื้อเยื่อชั้นต่างๆ ดังนี้
เซลล์เยื่อบุ
จะบางลงเหลือเป็นเซลล์ทรงสูงเรียงตัวชั้นเดียว
เนื้อเยื่อน้ำเหลือง
เมื่อท่อเล็กลงจไนวนของเนื้อเยื่อน้ำเหลืองจะเพิ่มมากขึ้น
กล้ามเนื้อเรียบ
กล้ามเนื้อเรียบมีขนาดใหญ่แต่จะมีขนาดบางลงเมื่อท่อลมมีขนาดเล็กลง
กระดูกอ่อน
ไม่มีกระดูกอ่อนในหลอดลมฝอย
ต่อม จะพบน้อยลงเรื่อยๆจนถึงหลอดลมฝอยจะไม่พบเลย
ปอด Lungs
ปอดทางด้านซ้ายจะมี3พู ด้านซ้ายจะมี 2 พู ลักษณะของปอดจะคล้ายเหมือนฟองน้ำมีรูพรุน
ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเปลี่ยนแก๊สคล้ายถุงลมเล็กของต่อม
ผิวด้านนอกมีเนื้อเยื่อซีรัสใส เรียกว่า เยื่อหุ้มปอด ( pleural cavity) ประกอบด้วยด้วยชั้นในและชั้นนอก ระหว่างชั้นมีช่องว่าง ซึ่งมีสารเหลวขังอยู่กันการเสียดสี เรียกว่า pleura fiuid
หน่วยทำงานของปอดที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส ประกอบด้วย หลอดลม ถุงลมขนาดต่างๆ หลอดเลือดแดงดำน้ำเหลืองเส้นประสาทและเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพัน
ถุงลมเล็ก (alveoli)
เป็นถุงตันรูปหลายเหลี่ยมผนังบางโดยเฉพาะที่ติดกับหลอดเลือดฝอย
การหายใจเข้า
กระบังลม (diaphragm)
การหายใจเข้าจะทำให้กระบังลมเลื่อนต่ำลง เพื่อเพิ่มขนาดของช่องอกในแนวตั้ง
External intercostal muscle
เมื่อหดตัวจะดึงซี่โครงขึ้นพร้อมทั้งกางออกไปด้านข้างเพิ่มขนาดของทรวงอก
กล้ามเนื้อเสริม
Scalene ช่วยยกซี่โครงชั้นบน
Sternocleidomastoid ช่วยยกกระดูกสันอกขึ้น
การหายใจออก
กระบังลม (diaphragm)
การหายใจออกจะทำให้กล้ายเนื้อกระบังลมคลายตัว
กล้ามเนื้อหน้าท้อง
เมื่อมีการหดตัวกระดูกซี่โครงจะบีบชิดกันลำตัวจะโค้งความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น
Internal intercostal muscle
เมื่อหดตัวจะทำให้ซี่โครงหุบลงล่างและเคลื่อนมาทางด้านหลังมีผลในการลดปริมาตรทรวงอก
ลักษณะของการหายใจ (pattern of breathing)
1)Eupnea
2)Tachypnea
3)Hyperpnea
4)Dyspnea
5)Orthopnea
6)Apnea
7)Apneausticbreating
8)Apneausis
9)Gasping
10)Coughing
11)Yawning
Nasal cavity
Respiratory bronchiole
ชื่อ นางสาวสิริกร แสนจะบก
รหัสนิสิต 63010410104
คณะพยาบาลศาสตร์