Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สถานการณ์ที่ 4 เรื่องการดูแลทารกแรกเกิด - Coggle Diagram
สถานการณ์ที่ 4
เรื่องการดูแลทารกแรกเกิด
นักศึกษาคิดว่าเพราะเหตุใดพยาบาลห้องคลอด
จึงปิดแอร์ก่อนทารกคลอด ระบุเหตุผล
พยาบาลห้องคลอดปิดแอร์ก่อนทารกคลอด เพราะทารกแรกอาจเกิดสูญเสียความร้อนของร่างกายโดยความร้อนจากภายในร่างกาย (CoreTemperature) ถูกส่งออกมาอยู่ที่ผิวกายแล้วมีการสูญเสียความร้อนที่ผิวกายให้กับสภาพ ซึ่งเครื่องปรับอากาศเป็นกลไกการพาความร้อน วิธีปฏิบัติ คือปิดแอร์ทันทีเมื่อศีรษะทารกผ่านพ้นช่องคลอด หรือกรณีที่มารดามีแนวโน้มคลอดง่ายและเร็ว ห้ามเปิดแอร์ในแวดล้อมภายนอก
นักศึกษาคิดว่าเพราะเหตุใดพยาบาลรีบนำผ้าที่
เปียกออกจากทารก ระบุเหตุผล
พยาบาลรีบนำผ้าที่เปียกออกจากทารก เพราะเป็นการสูญเสียความร้อนที่เย็นกว่ามาสัมผัสกับร่างกายทารกทำให้เกิดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายและต้องผลิตความร้อนออกจากร่างกาย เพื่อทดแทนความร้อนที่สูญเสียไป
นักศึกษาประเมิน Apgar score ได้คะแนนเท่าไร และจะให้การพยาบาลอย่างไร
ประเมิน Apgar score 8 คะแนน อยู่ช่วงคะแนนระหว่าง 8-10 (No asphyxia) ทารกในกลุ่มนี้ถือว่าปกติไม่ต้องให้การช่วยเหลือพิเศษใดๆ นอกจากสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งและให้ความอบอุ่นแก่ทารกก็เพียงพอ
นักศึกษาคิดว่าพยาบาลเช็ดตาด้วยสำลีชุบ 0.9%NSS และเช็ดสะดือด้วยสำลี alcohol เป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่ เพราะเหตุใด พร้อมเหตุผล
เหมาะสม เนื่องจากการดูแลเกี่ยวกับตา เมื่อทารกผ่านทางช่องคลอดอาจทำให้เชื้อเข้าสู่ตา เกิดเป็นตาอักเสบได้ ถ้ามีเชื้อ GONOCOCCI อยู่หรือเรียกว่า Opthalmic neonatorum หรือป้องกันการติดเชื้อหนองใน ถ้ารักษาไม่ทัน อาจทำให้ตาบอดได้ ซึ่งวิธีเช็ดที่ถูกต้อง คือ เช็ดด้วยสำลีชุบ 0.9% NSS โดยเช็ดจากหัวตาไป หางตาและหยอดตาด้วย 0.1%Ag NO3ที่หัวตาข้างละ 1 หยด หลังจากหยอดยา 0.1%Ag NO3 แล้วควรเช็ดตาอีกครั้งด้วย 0.9% NSS เพื่อเช็ดเอาน้ำยาที่เกินอดก เพราะน้ำยานี้ทำให้ระคายเคืองผิวหนังและตรวจดูยาที่หยอดต้องไม่เป็นขุ่นหรือหมดอายุ และสำหรับการเช็ดสะดือด้วยสำลีชุบ alcohol เป็นการดูแลที่เหมาะสมหรืออาจจะใช้เป็น 0.5% tincture iodine in 70% alcohol เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ เนื่องจากเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดทางสายสะดือได้
นักศึกษาคิดว่าพยาบาลป้ายตาทารกด้วยยาชนิดใด มีผลอย่างไรกับทารก ระบุเหตุผล
การป้ายตาทั้งสองข้างด้วยยาชนิด 1%Terramycin eye ointment แทน 0.1% AgNO3 ก็ได้ เพื่อป้องกัน Gonococcal-ophthalmia neonatorum และป้องกันการติดเชื้อหนองใน หรือเยื่อตาอักเสบจากเชื้ออื่นๆซึ่งผลข้างเคียงของการใช้ยาป้ายตาทารกแรกเกิดที่สำคัญคือ หนังตาและเยื่อบุตาบวม แดง ร้อน โดยทั่วไปเกิดภายใน 24 ชั่วโมง แล้วหายได้เองภายใน 48 ชั่วโมง แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตาของทารกแรกเกิด
นักศึกษาคิดว่านอกจากยาที่พยาบาลฉีดให้ทารกตามโจทย์สถานการณ์แล้วนั้น ทารกควรได้รับยาชนิดใดเพิ่มหรือไม่ เพราะเหตุใด พร้อมเหตุผล
ทารกควรได้รับยาวัคซีน ชนิด BCG (Bacillus Calmette Guerin vaccine) ขนาด 0.05 ml เป็นเชื้อเป็นฉีดชั้นผิวหนังที่ (intracutaneous) บริเวณไหล่ ฉีดก่อนออกจากโรงพยาบาล เพื่อให้วัคซีนป้องกันวัณโรค ไปสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย แนะนำบิดามารดาดูแลผิวหนังที่ฉีดภูมิคุ้มกันวัณโรคให้สะอาด เนื่องจากสัปดาห์ที่2-3หลังฉีด จะมีตุ่มแดงๆ เกิดขึ้นตุ่มจะโตขึ้นช้าๆ กลายเป็นฝี และแตกออกเอง มีแผลปากกว้างประมาณ 4-5 mm ห้ามบ่งตุ่มหนองหนองหรือฝีและไม่ต้องใส่ยาหรือปิดแผล ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกเช็ดรอยแผลก็พอประมาณ 3-4 สัปดาห์ จะแห้งกลายเป็นแผลเป็น ถ้าฉีดแล้วมีตุ่มแดงขนาด 1 mm ขนาดเท่าเดิมหรือไม่ เกิดตุ่มแดงบริเวณที่ฉีด แสดงว่าการฉีดไม่ได้ผลต้องฉีดใหม่เมื่อทารกอายุ 2 เดือน พร้อมกับที่มารับวัคซีน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจดูอีกครั้ง
นักศึกษาคิดว่าพยาบาลฉีดยาชนิดใดให้ทารก เป็นยาชนิดเดียวกันหรือไม่ ให้ระบุยาที่ใช้ พร้อมทั้งระบุเหตุผลที่เลือกใช้ยาชนิดนั้น
ไม่ใช่ชนิดเดียวกัน
• พยาบาลฉีดยาเข็มแรก ชนิด HBV1 (ไวรัสตับอักเสบบี) ให้เมื่อแรกเกิดเป็นเชื้อตาย ถ้ากรณีที่มารดาไม่ได้เป็นพาหะ ให้ Active Immunization 0.5 ml ฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณหน้าขา 0.5 ml ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด เพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีและโรคที่เกิดจากไวรัสชนิดนี้ซึ่งรวมไปถึงมะเร็งตับและตับแข็ง ซึ่งบริเวณที่ฉีดจะมีอาการ ปวด บวม มีไข้ต่ำๆ อาการมักเริ่ม3-4ชั่วโมง หลังฉีด จะเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง หลังฉีด ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นและรุนแรงจะเกิด Anaphylaxis ไม่เกิน 1 ชั่วโมง Guillain Bale syndrome (1-6สัปดาห์) ซึ่งวัคซีนนี้จะให้ 3 เข็ม
เข็มที่1 เมื่อแรกเกิด
เข็มที่2 เมื่ออายุ 1เดือน
เข็มที่3 เมื่ออายุ 6 เดือน
ถ้าหากมารดาเป็นพาหะ ให้ Passive Immunization คือ B Immunoglobulin (HBIG) โดยให้ 0.5 มิลลิลิตร ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหน้าขา ควรให้เร็วที่สุดภายใน 12 ชั่วโมงแรกหลังคลอด อย่างช้าที่สุดควรให้ภายใน 7 วัน พร้อมทั้งให้ Active Immunization 0.5 มิลลิลิตร ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหน้าขาภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด และให้ซ้ำอีก 3 ครั้ง คือ
ครั้งที่2 เมื่ออายุ 6เดือน
ครั้งที่3 เมื่ออายุ 15 เดือน
ครั้งที่1 เมื่ออายุ 1 เดือน
ซึ่งบริเวณที่ฉีดจะมีอาการปวดบวม มีไข้ต่ำๆ อาการมักเริ่ม 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด จะเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังฉีด ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นและรุนแรงจะเกิด Anaphylaxis ไม่เกิน 1 ชั่วโมง Guillain Bale syndrome (1-6 สัปดาห์)
• พยาบาลฉีดยาเข็มที่2ที่ขาอีกข้างหนึ่งด้วย Vitamin K 0.5-1 ml ฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหน้าขอองทารก ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยในการแข็งตัวของเลือด ป้องกันเลือดออกผิดปกติ ซึ่งบริเวณที่ฉีดอาจพบการติดเชื้อ การบาดเจ็บต่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
• การฉีดยาจะฉีดคนละข้างกัน
นักศึกษาคิดว่าหญิงตั้งครรภ์รายนี้มีอายุครรภ์กี่สัปดาห์ และจะประเมินได้อย่างไร พร้อมระบุเหตุผล
หญิงตั้งครรภ์รายนี้มีอายุครรภ์ 35 สัปดาห์ ประเมินได้จาก Ballard scale เนื่องจากผลการตรวจร่างกายทารกพบ
• ผิวหนังทารกเห็นเส้นเลือดเล็กน้อย = 1 คะแนน
• ขนอ่อนหลังและไหล่เล็กน้อย = 3 คะแนน
• ลายฝ่าเท้าประมาณ 2/3 = 3 คะแนน
• หัวนมมีขนาด 3-4 mm. = 3 คะแนน
• ใบหูคืนกลับพอใช้ เมื่อพับใบหู = 2 คะแนน
• แคมใหญ่มีขนาดเท่ากับแคมเล็ก = 2 คะแนน
คะแนนรวมทั้งหมด 14 คะแนน * 2 เท่ากับ 28 คะแนน เมื่อเทียบตารางประเมิน Ballard scale จะได้ 35 สัปดาห์ หมายถึง ทารกคลอดก่อนกำหนด (Pretrem)
นักศึกษาคิดว่าจะซักประวัติอะไรเพิ่มเติมจากมารดา เพราะเหตุใด พร้อมระบุเหตุผล
ประวัติการเจริญพันธุ์
• อายุที่เริ่มประจำเดือนครั้งแรกลักษณะและวงรอบของการมีประจำเดือน เช่น ความถี่ ความสม่ำเสมอ ระยะเวลา ปริมาณ และอาการปวดประจำเดือน เพื่อประเมิน
• วิธีการคุมกำเนิดในอดีตและปัจจุบัน เพื่อคัดกรองโรคเบื้องต้นและผลกระทบที่อาจเกิดกับทารก
การซักประวัติสตรีตั้งครรภ์
การซักประวัติประวัติส่วนบุคคลและประวัติทางสังคม
• ชื่อ-สกุล อายุ (วันเดือนปีเกิด)
• ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์
• สถานภาพสมรส
• การสูบบุหรี่หรือสารเสพติดอื่นๆ
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตและปัจจุบัน
• โรคหรือภาวะผิดปกติที่เคยเป็น
• โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
• การใช้ยาในปัจจุบัน
• วัณโรค โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง โรคลมชัก โรคเบาหวาน
• การติดเชื้อเอดส์การผ่าตัดอื่นที่นอกเหนือไปจากการผ่าตัดคลอด
ประวัติทางสูติกรรม
• ภาวะแทรกซ้อนของขณะตั้งครรภ์
• โรคทางหลอดเลือดและความดันโลหิตภาวะ pre-eclampsia หรือ eclampsia
• ภาวะเบาวหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes)
การตรวจร่างกายทั่วไป
• ชั่งน้ำหนัก (กิโลกรัม) และความสูง (เมตร) เพื่อประเมินภาวะโภชนาการ
• วัดความดันโลหิต
• ฟังเสียงการหายใจและเสียงหัวใจ
• วัดความสูงของยอดมดลูก (เซนติเมตร)
การตรวจทางสูติกรรม เช่น การตรวจครรภ์และทารกในครรภ์ การตรวจเต้านมและหัวนม เป็นต้น
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
• ตรวจเลือดซิฟิลิส (rapid test) และการติดเชื้อเอดส์ (anti HV ให้ทราบผล Poly) ระหว่างที่รอตรวจในคลินิก ถ้าผลบวกให้ทำการรักษา
• ตรวจหาหมู่เลือแ (ABO and Rh)
• ตรวจความเข้มข้นของเลือด (Hct/Hb) และคัดกรองธาลัสซีเมีย (OF หรือ MCV) และ DCIP และ typing
• ตรวจปัสสาวะทำการตรวจ dipstick test เพื่อคัดกรองภาวะ asymptomatic bacteriuria และตรวจไข่ขาว (proteinuria) ทุกราย
เหตุผล เป็นการรวบรวมข้อมูล คัดกรองโรคเบื้องต้นเพื่อนำไปใช้ในการวินิจฉัยปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับมารดาและทารก นำไปใช้ในการรักษาให้ครอบคลุม
นักศึกษาคิดว่าพยาบาลใช้ปรอทไข้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด พร้อมระบุเหตุผล
ถูกต้อง เพราะ การวัดอุณหภูมิของร่างกายทันทีแรกเกิดด้วยปรอททางก้น (rectum) เพื่อประเมินเกี่ยวกับรูทวารหนักและอุณหภูมิร่างกายของทารก โดยหล่อลื่นด้วยวาสลีนยาวประมาณ 1 นิ้ว สอดปรอทเข้าทางรูทวารหนักอย่างระมัดระวัง ให้เข้าไประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร วัดนาน 3 นาที ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 36.5 องศาเซลเซียส ควรช่วยเหลือโดยการให้ความอบอุ่นแก่ทารก ส่วนการวัดอุณหภูมิครั้งต่อๆ ไปให้วัดทางรักแร้ อุณหภูมิร่างกายของทารกจะคงที่ใน 4 ชั่วโมงหลังคลอด
นักศึกษาว่าขนาดของศีรษะทารก และขนาดของหน้าอกทารก ความยาวของทารก ที่ได้วัดได้จากสถานการณ์ปกติหรือไม่ พร้อมระบุเหตุผล เหลือเหตุผล
• ขนาดของศีรษะทารก 33 เซนติเมตร อยู่ในภาวะปกติ (ค่าปกติ 35 ± 2 เซนติเมตร) เนื่องจากบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของสมองทารกที่ปกติ นอกจากการเจริญเติบโตและพันธุกรรมจะมีผลต่อเส้นรอบศีรษะแล้ว สภาวะบางอย่าง เช่น การขาดออกซิเจน
น้ำตาลในเลือดต่ำ มีการติดเชื้อที่สมอง ชัก การเพิ่มของความดันในกะโหลกศีรษะ
ก็มีผลให้เส้นรอบศีรษะมีขนาดเพิ่มขึ้นด้วย
• ขนาดรอบอกทารก 32 เซนติเมตร อยู่ในภาวะที่ผิดปกติ
(ค่าปกติต้องน้อยกว่าเส้นรอบศีรษะ 2 เซนติเมตร)
• ขนาดความยาวลำตัวทารก 50 เซนติเมตร อยู่ในภาวะปกติ (ค่าปกติ 50 เซนติเมตร) ค่าความสูงจะบอกถึงการเจริญเติบโตได้ดี เพราะไม่ได้เปลี่ยนแปลงในภาวะขาดสารอาหาร
นักศึกคิดว่าสิ่งที่ตรวจพบจากการตรวจร่างกายตามสถานการณ์มีสิ่งใด
เป็นภาวะปกติและสิ่งใดเป็นภาวะผิดปกติ ต้องให้การพยาบาลอย่างไร
และจะอธิบายกับมารดาว่าอย่างไร พร้อมระบุเหตุผล
ตรวจร่างกาย
• ผิวหนังทารกเห็นเส้นเลือดเล็กน้อย
• มีขนอ่อนหลังและไหล่เล็กน้อย
• มีลายฝ่าเท้าประมาณ 2/ 3 จากปลายเท้า มากกว่า 2/ 3
• หัวนมมีขนาด 3-4 ซม
• ใบหูคืนกลับพอใช้มือพับใบหู
• ทารกมีจุดสีขาวๆบริเวณจมูกด้านซ้าย
• แคมใหญ่มีขนาดเท่ากับแคมเล็ก
• แขนขาของทารกแบะออกแขนงอเล็กน้อยวัดมุมข้อมือได้ 45 องศา
• เมื่อนำเส้นเท้าของทารกจดที่ใบหูพบว่ายกได้ถึงใบหน้าเข่างอเล็กน้อย
• ลักษณะการหายใจ เบา เร็ว สม่ำเสมอ V/S
• แรกคลอด BT 37.2 องศาเซลเซียส
• HR 144 bpm
• RR 62 bpm
• Oxygen saturation 98%
นักศึกษาคิดว่าการที่พยาบาลตบที่เบาะแล้วทารกมี
อาการผวาเป็นภาวะปกติหรือไม่ พร้อมเหตุผล
เป็นภาวะปกติเนื่องจากเป็นปฏิกิริยา Reflex ในเด็กคือ Moro reflex จะทำการประเมินโดยผู้ตรวจให้ทารกนอนหงายแล้วกระตุ้นโดยตบที่เบาะ หรือดึงมือของทารกค่อยๆแล้วปล่อยหรือประคองด้านหลังของทารก แล้วปล่อยมือให้ทารกหงายไปข้างหน้าประมาณ 10-15 องศา โดยใช้ฝ่ามือคอยรองรับไว้ จะกระตุ้นทำให้เด็กกางแขนกางขาออกแล้วทารกจะงอแขน และขางอเข้า. ท่าคล้ายกับการกอด Reflexนี้จะพบบ่อยในระยะ 2 เดือนแรก และจะค่อยๆหายไปเมท่อทารก อายุ 3-4เดือน ถ้าไม่พบMoro reflex ในทารกแรกเกิดหรือพบมากกว่า 6 เดือนต้องนึกถึงภาวะสมองได้รับอันตราย การกางแขนขาไม่เท่ากันทั้ง2ข้างอาจเนื่องจาก Brachial plexus ถูกกดกระดูกไหปลาร้าหรือกระดูกต้นแขนหัก
นักศึกษาคิดว่าสัญญาชีพที่วัดได้จากสถานการณ์ปกติหรือไม่ พร้อมระบุเหตุผล
สัญญาชีพ
• อุณหภูมิ 37.2 องศาเซลเซียส (วัดทางทวารหนัก) อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ค่าปกติ 36.9-37.1 ๐C) เนื่องจากทารกแรกเกิดมักจะมีความลำบากในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายเพราะทารกมีพื้นที่ผิวกาย (Surface area) กว้างกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบตามน้ำหนักตัวทางด้านกายภาพทารกแรกเกิดมีไขมันใต้ผิวหนังน้อยจึงทำให้ความร้อนภายในร่างกายในร่างกายถ่ายเทให้สิ่งแวดล้อมได้ง่ายรวมทั้งศูนย์ควบคุมความร้อนซึ่งอยู่ที่ Hypothalamus ยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์สาเหตุอีกประการคือการสั่นขิองเซลล์กล้ามเนื้อ (Shivering) ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยเพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกายในทารกแรกเกิดมีน้อยจึงเป็นเหตุทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดลงเกิดภาวะ Hypothermia ได้ง่ายเมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลงทารกจะปรับตัวโดยการสลายไขมันสีน้ำตาลเพื่อสร้างความร้อนเพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้กับร่างกาย ความร้อนที่ผลิตจะต้องใช้พลังงานและออกซิเจน ( Oxygen Consumption) เพิ่มขึ้นมากทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดออกซิเจน ( Hypoxia ) ภาวะเลือดเป็นกรด ( Metabolic acidosis) ละระดับของน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ ( Hypoglycemia ) และสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกแรกเกิดมีอัตราการตายสูง จึงควรจัดสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ทารกมีการใช้ออกซิเจนน้อยที่สุดโดยให้อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่าง 32 – 37.5 องศาเซลเซียส และรักษาอุณหภูมิของร่างกายไม่ให้ต่ำกว่า 36.5 องศาเซลเซียส
• อัตราการเต้นของหัวใจ 144 bpm อยู่ในเกณฑ์ปกติ ( 110-160 bpm ) Bradycardia Tachycardia ต่ำกว่า 100 bpm มากกว่า 180 bpm Tachycardia อาจเกิดจากปัญหาของ CNS หัวใจล้มเหลว Sepsis ซีด ไข้และภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ( Hyperthyroidism ) Bradycardia อาจพบชั่วคราวสัมพันธ์กับการร้องการเบ่งถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะในทารกแรกเกิดการมีอัตาหัวใจต่ำกว่า 70 bpmและคงอยู่นานถือว่าผิดปกติสาเหตุที่ไม่ได้เกิดจากปัญหาหัวใจเช่น Gastroesophageal reflex ภาวะขาดไทรอยด์ ( Hypothyroidism ) เป็นต้นเหตุที่สัมพันธ์กับภาวะหัวใจเช่น 2 หรือ 3 rd degree atrioventricular block , Nonconducted atrial premature beats เป็นต้น
• อัตราการหายใจ 62 bpm อยู่ในเกณฑ์สูง ( 40-60 bpm ) การหายใจของทารกแรกคลอดไม่สม่ำเสมอปกติอยู่ระหว่าง 40 ถึง 60 bpm อาจมากถึง 80 bpmและอาจมีการหยุดหายใจเป็นพักๆ แต่ไม่ควรนานเกิน 5 ถึง 10 วินาที อย่างไรไม่ตามปอดของทารกจะมีน้ำคร่ำและสิ่งคัดหลั่งจากเซลล์ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย ประกอบกับปอดยังทำงานไม่ดีร่างกายจึงมักขาดออกซิเจน พยาบาลจึงควรหมั่นสังเกตอาการเขียวบริเวณริมฝีปาก ปลายมือ ปลายเท้าทารก
นักศึกษาคิดว่าทารกนี้มีการหายใจที่ผิดปกติหรือไม่ อย่างไร พร้อมระบุเหตุผล
การหายใจผิดปกติ จากกรณีศึกษามีลักษณะการหายใจเบา เร็ว สม่ำเสมอ อัตราการหายใจ 62 bpm เนื่องจากภาวะหายใจเร็วชั่วคราวในทารกแรกเกิดมีสาเหตุจากการที่ทารกไม่สามรถขับน้ำที่อยู่ภายในปอดออกมาให้หมด ทำให้การหายใจในระยะแรกเกิดไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อแรกคลอดทารกจะมีภาวะออกซิเจนในเลือดลดลง ทำให้เลือดสภาพเป็นกรดเล็กน้อยซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ทารกมีการหายใจแรกเกิดขึ้น แต่หากกระบวนการขจัดน้ำออกจากปอดของทารกถูกรบกวนทำให้น้ำคงเหลืออยู่ในปอดทารกส่งผลให้ทารกหายใจไม่มีประสิทธิภาพเกิดภาวะหายใจเร็วชั่วคราวในระยะแรกเกิดได้