Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
รักษาตามอาการ เช่น อาการปวด ให้ได้รับยาบรรเทาอาการปวด ให้ของเพื่อบรรเทา
อาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น
2) รักษาเฉพาะโรค เช่น ยาฆ่าเชื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ
2) รักษาเฉพาะโรค เช่น ยาฆ่าเชื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ
3) ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด เช่น ผู้ป่วยเป็นโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก ให้ได้รับ
เฟอรัส ซัลเฟต
4) ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เช่น หัวใจเต้นเร็วเกินไป อาจได้รับยาดิจิทําลิส
1.2 เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ เช่น ฉีดวัคซีนบีซีจีเพื่อป้องกันวัณโรค ให้วิตํามินเพื่อ บํารุงร่างกายให้แข็งแรง
1.3 เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค เช่น ให้กลืนแป้งเบเรี่ยม ซัลเฟต แล้วเอ็กซเรย์เพื่อตรวจดูสภาพของ กระเพาะอาหรและลําไส้หรือการฉีดไอโอดีนทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดํา (Intravenous pyelography : IVP) เพื่อถ่ายภาพเอ็กซเรย์ดูการเคลื่อนขับสํารทึบรังสีที่ออกจากไตแต่ละข้าง
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
อายุและน้ําหนักตัว เด็กเล็ก ๆตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุมาก ๆ การทํางานของตับ และไตลดลง จึงทําให้ยามีปฏิกิริยามากขึ้น ขนาดของยาที่ให้จึงต้องน้อยกว่าคนปกติ ส่วนคนที่มีน้ําหนักตัว มากต้องได้รับขนาดของยาเพิ่มสูงขึ้น เช่น ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกแต่ละรายจะได้รับยาเคมีบําบัดใน ปริมาณที่ต่างกันโดยแพทย์ผู้รักษาใช้หลักการคํานวณปริมาณยาจากน้ําหนักตัวของผู้ป่วย เป็นต้น
เพศ ผู้ชายมีขนาดตัวใหญ่กว่าผู้หญิง น้ําหนักย่อมมากกวา ถ้าได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมี ปฏิกิริยําต่อผู้หญิงมํากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ผู้หญิงมีไขมันมากกว่าและมีของเหลวในร่างกํายน้อยกว่าผู้ชาย ยาบางชนิดละลายในไขมันได้ดี บางชนิดละลายในน้ําได้ดี ปฏิกิริยาของยําจึงต่างกัน
กรรมพันธุ์ บางคนอาจมีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจาก พันธุกรรม
ภาวะจิตใจ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับยาเคมีบาบัดบางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มาก โดยมีสาเหตุมาจากจิตใจ เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขจํากกํารเรียนรู้และจดจาประสบการณ์ที่ไม่ ดีจํากกํารได้รับยาเคมีบําบัดครั้งก่อน
ภาวะสุขภาพ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยําจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ ยาต่างจากคนปกติ
ทางที่ให้ยา ยาที่ให้ทํางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่าฃายาทาที่ให้รับประทํานทํางปําก
เวลาท่ีให้ยา ยาบางชนิดต้องให้เวลําที่ถูกต้องยําจึงออกฤทธิ์ตํามที่ต้องการ เช่น ยาปฏิชีวนะ บํางชนิดต้องให้ก่อนอําหําร จึงจะดูดซึมได้ดี
สิ่งแวดล้อม ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้ พักผ่อน
ระบบการตวงวัดยา
พยาบาลจะต้องทราบระบบการตวงวัดยา เพื่อสามารถคํานวณขนาดของยาได้ถูกต้องกรณีที่แพทย์ สั่งยาในระบบหนึ่ง แต่วิธีการให้ หรือการตวงยา ชั่ง วัดยาเป็นอีกระบบหนึ่ง ระบบการตวงวัดยาที่พบใน ปัจจุบัน ได้แก่ ระบบอโพทีคํารี ระบบเมตริก และระบบมาตรตวงวัดประจําบ้าน รายละเอียดดังนี้ (สัมพันธ์ สันทนําคณิต และนิษา วงษ์ชาญ, 2557; ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนํา, 2559)
3.1 ระบบอโพทีคํารี ถ้าเป็นน้ําหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็นปอนด์ ออนซ์ เกรน
คำสั่งแพทย์ คำนวณขนาดยา
กํารให้ยําแก่ผู้ป่วย แพทย์จะต้องรับผิดชอบในกํารเขียนคําสั่งกํารให้ยําเป็นลํายลักษณ์อักษร พยําบําล เป็นผู้รับผิดชอบในกํารจัดยํา เตรียมยําและนําไปให้ผู้ป่วยโดยตรง พยําบําลจะต้องช่วยให้ผู้ป่วย ได้รับยําถูกต้องตํามกํารรักษํา และช่วยมิให้ผู้ป่วยได้รับอันตรํายจํากกํารให้ยํา ในกรณีเร่งด่วนหรือภําวะ ฉุกเฉินแพทย์อําจสั่งกํารรักษําด้วยปํากหรือทํางโทรศัพท์หลังจํากที่พ้นภําวะวิกฤติแล้ว พยําบําลต้องให้ แพทย์เขียนคําสั่งเป็นลํายลักษณ์อักษรทันที หํากเป็นกํารสั่งคําสั่งกํารรักษําทํางโทรศัพท์พยําบําลจะต้อง เขียนคําสั่งด้วยตนเองพร้อมทั้งเวลําและชื่อของแพทย์ผู้สั่งกํารรักษําและให้แพทย์เซ็นชื่อกํากับทันทีเมื่อ แพทย์มําบนหอผู้ป่วย
คําสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป (Standing order / order for continuous) เป็นคําสั่งที่ สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่ําจะมีคําสั่งระงับ (discontinue) หรือบํางครั่งแพทย์อําจระบุวันที่ระงับ ยําไว้เลยก็ได้ เช่น กํารให้ยําปฎิชีวนะ Ofloxacin (200) 2 tab bid.pc x 5 days จะหยุดกํารให้ยําได้ เมื่อครบกําหนดตํามที่แพทย์ระบุไว้คือ 5 วัน
คําสั่งใช้ภํายในวันเดียว (Single order of order for one day) เป็นคําสั่งที่ใช้ได้ใน 1 วัน เมื่อได้ให้ยําไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย เช่น Tramal (50) 1 cap q 6 hr เมื่อครบ 24 ชั่วโมงคําสั่งนั้นก็ระงับเช่นกํารให้ยําครั้งแรกที่เวลํา 12.00 น ของ วันที่ 23 ตุลําคม 2557 จะครบรอบคําสั่ง ที่เวลํา 12.00 น ของวันที่ 24 ตุลําคม 2557 หรือ MOM 30 cc. 16.00 น. วันที่ 24 ตุลําคม 2557 เป็น กํารให้ยําในวัน เวลําที่แพทย์มีคําสั่งครั้งเดียว
คําสั่งที่ต้องให้ทันที (Stat order) เป็นคําสั่งกํารให้ยําครั้งเดียวและต้องให้ทันที เช่น Diclofenac 1 amp M stat เมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วยกเลิกได้
คําสั่งที่ให้เมื่อจําเป็น (prn order) เป็นคําสั่งที่กําหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอํากําร บํางอย่ํางเกิดขึ้น เช่น มีไข้ ปวดแผล ชัก เป็นต้น ซึ่งพยําบําลจะต้องใช้ดุลยพินิจในกํารตัดสินใจ คําสั่งกําร รักษํานี้อําจกําหนดไว้ใน order for continuous หรือ order for one day ก็ได้
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
ชื่อของผู้ป่วย จะต้องเขียนทั้งชื่อและนํามสกุลของผู้ป่วยห้ามเขียนแต่ชื่อเพียงอย่างเดียว เพรําะว่าอําจเกิดควํามผิดพลําดเกิดขึ้นได้หํากมีชื่อซ้ากัน แต่ในปัจจุบันจะเป็นป้ายชื่อสติ๊กเกอร์ที่พิมพ์ออก จํากเครื่องพิมพ์แล้วปิดแทนกํารเขียนเพื่อควํามสะดวกและป้องกันกํารผิดพลําด
วันที่เขียนคําสั่งการรักษา
ชื่อของยา
ขนาดของยา
วิถีทางการให้ยา
เวลาและความถี่ในการให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
ลักษณะคาสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
ทางปาก (oral) ยําที่ให้ผู้ป่วยรับประทํานทํางปําก โดยยําจะดูดซึมทํางระบบทํางเดิน อําหํารและลําไส้ ชนิดของกํารปรุงยํามีลักษณะต่างๆ กัน ได้แก่ ยําเม็ด (tablet) ยําแคปซูล (capsule) ยําน้ําเชื่อม(syrup)อีลิกเซอร์(elixir)อีมัลชั่น(emulsion)ยําผง(powder)ยําน้ําผสม(mixture) ยํา อม (lozenge)
ทางสูดดม (inhalation) ยําที่ใช้พ่นให้ผู้ป่วยสูดดมทํางปํากหรือจมูก โดยดูดซึมทํางระบบ ทํางเดินหํายใจ ชนิดของกํารปรุงยําเป็นลักษณะต่ํางๆ กัน ได้แก่ ชนิดสเปรย์ (spray) พ่นทํางสํายให้ ออกซิเจน (nebulae)
ทางผิวหนัง (skin) ยําที่ใช้ทําบริเวณผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้าร่างกํายทํางผิวหนัง ชนิดของกํารปรุงยําเป็นลักษณะต่างๆ กัน ได้แก่ ชนิดโลชั่น (lotion) ครีม (cream) ยําขี้ผึ้ง (ointment) ยําเปียก (paste) หรือยําถูนวด (inunction) ยําผงใช้โรย (powder) เป็นต้น
ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular) ยําที่ใช้ฉีดเข้าทํางกล้ามเนื้อของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้า ร่างกํายทํางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นกล้ามเนื้อ ชนิดของกํารปรุงยําเป็นลักษณะยําที่ละลํายในน้ํา (aqueous solution) เท่านั้น
ทางชั้นผิวหนัง (intradermal) ยําที่ใช้ฉีดเข้าทํางชั้นผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึม เข้าร่างกํายทํางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นผิวหนัง ชนิดของกํารปรุงยําเป็นลักษณะยําที่ละลํายในน้ํา (Aqueoussolution) เท่านั้น
ทางหลอดเลือดดา (intravenous) ยําที่ใช้ฉีดเข้าทํางหลอดเลือดดําของผู้ป่วย โดยเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดโดยตรง ชนิดของกํารปรุงยําเป็นลักษณะยําที่ละลํายในน้ํา (aqueous solution) เท่ํานั้น
ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal) ยําที่ใช้ฉีดเข้าที่ใต้ผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้ําระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นใต้ผิวหนัง ชนิดของกํารปรุงยําเป็นลักษณะสํารละลําย (Aqueous solution) เท่านั้น
รูปแบบการบริหารยา
Right patient/client (ถูกคน) คือกํารให้ยําถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย โดยกํารเช็คชื่อผู้ป่วยทุก ครั้งก่อนให้ยําหรือก่อนฉีดยําเทียบกับใบ Medication administration record วิธีกําร คือ ให้ถํามผู้ป่วย ว่า “คุณชื่ออะไรคะ” แล้วให้ผู้ป่วยตอบชื่อตนเอง หรืออําจตรวจที่ป้ายชื่อข้อมือ เป็นกํารประกันว่า ให้ยํา
ถูกตัวผู้ป่วย
Right drug (ถูกยํา) คือกํารให้ยําถูกชนิด โดยกํารอ่านชื่อยําอย่างน้อย 3 ครั้ง ดังนี้
ก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้าที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจํากที่เก็บ
Right dose (ถูกขนาด) คือกํารให้ยําถูกขนําด โดยกํารจัดยําหรือคํานวณยําให้มีขนําดและ ควํามเข้มข้นของยําตํามคําสั่งกํารให้ยํา เป็นกํารประกันว่า ผู้ป่วยได้รับขนาดยําโดยรวมเป็นไปตํามที่แพทย์ ต้องกํารและขนําดยําที่ผู้ป่วยได้รับมีควํามสอดคล้องหรือเหมําะสมกับโรคหรืออํากํารของผู้ป่วย กํารให้ยํา ขําดหรือเกินจํากขนําดที่แพทย์สั่ง จะส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับยําไม่ครบตํามแผนกํารรักษําเป็นควํามคําด เคลื่อนที่พบบ่อย
Right time (ถูกเวลํา) คือกํารให้ยําถูกหรือตรงเวลํา โดยกํารให้ยาตรงตามเวลาหรือความถี่ ตํามคําสั่งกํารให้ยํา กํารให้ผู้ป่วยรับประทํานยําที่สัมพันธ์กับมื้ออําหํารอย่างไม่เหมําะสมจะทําให้ ระดับยํา ในกระแสเลือดสูงหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นกํารให้ยําควรให้ถูกเวลําเพื่อกํารออกฤทธิ์ที่เหมําะสมที่สุด ได้แก่
4.2 กํารให้ยําหลังอําหํารเป้าหมํายเพื่อให้ยําได้สัมผัสกับอําหํารเพื่อช่วยเรื่องกํารดูดซึม ดังนั้น กํารให้ยําต้องให้หลังอําหํารทันทีจนถึง 2 ชั่วโมงหลังอําหําร หรือให้ในกรณีที่ยํามีผลระคํายเคือง กระเพําะอําหํารซึ่งอําหํารจะช่วยลดกํารระคํายเคืองได้
4.3 กํารให้ยําช่วงใดก็ได้คืออําหํารไม่มีผลต่อกํารดูดซึมดังนั้นจึงให้ช่วงเวลําใดก็ได้
4.1 กํารให้ยําก่อนอําหําร เพื่อไม่ต้องกํารให้ยําได้สัมผัสกับอําหําร ดังนั้นกํารให้ยําก่อน อําหํารควรให้ยําก่อนอําหํารอย่ํางน้อย 1⁄2 ชั่วโมงหรือหลังอําหํารไปแล้ว 2 ชั่วโมงหรือรับประทํานยําตอน ท้องว่ําง
4.4 กํารให้แบบกําหนดเวลําหรือให้เฉพําะกับอําหํารที่เฉพําะ เช่น กํารให้พร้อมกับอําหําร คําแรก ห้าม รับประทํานพร้อมนม กํารให้ขณะนั่งหัวสูงเป็นเวลํา 30 นําที เป็นต้น
Right route (ถูกวิถีทําง) คือกํารให้ยําถูกทําง โดยกํารให้ยําแก่ผู้ป่วยตํามที่แพทย์สั่งกํารรักษํา เป็นกํารประกันว่าผู้ป่วยได้รับยําสอดคล้องกับวิถีกํารบริหํารยํา
หลักสำคัญในการให้ยา
การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาด และการฉีดยาใช้หลัก aseptic technique
ตรวจสอบคําสั่งแพทย์ก่อนให้ยําทุกครั้ง หํากมีข้อสงสัยให้ตรวจสอบจํากใบสั่งยําทุกครั้งและหําก ไม่แน่ใจให้ซักถํามจํากแพทย์ผู้ทํากํารรักษํา
ก่อนให้ยําต้องทรําบวัตถุประสงค์กํารให้ยํา กํารวินิจฉัยโรค ผลของยําที่ต้องกํารให้เกิดและฤทธิ์ ข้างเคียงของยํา
ตรวจสอบประวัติกํารแพ้ยําจํากตัวผู้ป่วยและญําติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและทดสอบกํารแพ้ ของยําบํางชนิด หํากมีประวัติแพ้ยําต้องเขียนป้ายติดที่แผ่นรํายงํานกํารรักษําอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันกําร สั่งยําที่ผู้ป่วยแพ้แก่ผู้ป่วย
ตรวจสอบวันหมดอํายุของยําปกติแล้วยําเม็ดจะมีอํายุอยู่ได้ 5 ปีและยําน้ําจะมีอํายุได้ 3 ปีแต่ หํากเปิดขวดแล้วนิยมใช้เพียง 6 เดือนเท่ํานั้นเพื่อป้องกันกํารปนเปื้อนของเชื้อโรคเมื่อเปิดขวด แล้วให้ เขียนวันที่เปิดและวันที่หมดอํายุไว้ที่ข้ํางขวดเสมอเพื่อให้ทรําบวันที่หมดอํายุของยํา ส่วนยําหยอดตํานั้น เมื่อเปิดแล้วจะใช้ได้เพียง 30 วันเท่ํานั้นและต้องเก็บในตู้เย็นเช่นกัน ห้ํามใช้ยําหยอดตําร่วมกันเพื่อป้องกัน กํารแพร่กระจํายเชื้อ
ไม่ควรเตรียมยําค้างไว้ บริเวณที่เตรียมยําต้องสะอําดและมีแสงสว่างเพียงพอ พยําบําลต้องมี สมําธิในกํารเตรียมยําและให้ยําแก่ผู้ป่วย ไม่ควรพูดคุยขณะเตรียมยํา ผู้เตรียมยําและผู้ให้ยําควรเป็นคน เดียวกันเพื่อป้องกันควํามผิดพลําด และต้องมีกํารตรวจสอบซ้าจํากเจ้าหน้ําที่อีกท่านหนึ่งเสมอเป็นกําร double check เพื่อป้องกันควํามผิดพลําดที่อําจจะเกิดขึ้น
ไม่ให้ยาที่ฉลํากมีกํารลบเลือนไม่ชัดเจน หํากมีกํารเทยําออกมําแล้วไม่ควรเทยํากลับไปในขวด เดิมอีก และไม่ควรเทยําที่เหลือจํากอีกขวดไปอีกขวดหนึ่ง
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก หมายถึง กํารให้ยําที่สามารถรับประทานทางปากได้ ซึ่งอําจเป็นชนิดยาเม็ด
ยาแคปซูล ยาผง หรือยาน้ํา นับว่าเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และปลอดภัยที่สุด ไม่ควรให้ยําทํางปํากในผู้ป่วยที่ คาสายให้อาหารสู่กระเพําะ (NG-tube) หรือผู้ป่วยที่มีอํากํารอําเจียน ไม่รู้สึกตัว และกลืนลําบําก ในผู้ป่วย เด็กและผู้สูงอํายุ ที่กลืนยาลาบาก หรือรับประทํานยําเม็ดไม่ได้ต้องบดเป็นผงแล้วผสมน้ําให้รับประทําน ส่วนใหญ่ยําชนิดเม็ดดูดซึมทํางลําไส้เล็ก ส่วนยําน้ําเชื่อมดูดซึมที่กระเพําะอําหําร ยําอมใต้ลิ้นดูดซึมทําง หลอดเลือดฝอยใต้ลิ้น มีข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอําหํารหรือนม(ยกเว้นยาพวกTetracyclineไม่ ควรให้ผู้ป่วยรับประทานพร้อมนม)
กํารให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สํามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ําให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปําดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภํายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยําค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ําล้างออก
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอํากํารระคายเคืองและ
เคลือบผนังของหลอดอาหารและกระเพาะ
ยําอมใต้ลิ้น เช่น ไนโตรกลีนเซอลีน (Nitroglycerine) ไอซอร์ดิล (Isodril) ที่ใช้รักษํา
อํากํารเจ็บหน้ําอกจํากกํารขําดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น ควรให้หลังจํากรับประทํานยําทุกชนิด แล้ว และแนะนําให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา รอจนกว่ายาละลายหรือดูดซึมเข้าใต้ลิ้นเอง ยําจะออกฤทธิ์ใน 15-30 นาที ระหว่างนี้ให้ผู้ป่วยนั่งและนอนพักขณะที่อมยํา
การให้ยาเฉพาะที่
การให้ยาทางตา (Eye instillation) เนื่องจากดวงตาเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบํางมําก ติด เชื้อได้ง่าย กํารใช้ยําบริเวณตาจึงต้องคํานึงถึงควํามสะอําดเป็นสําคัญ ยําที่ใช้กับตํามีทั้งยาหยอดตํา ป้ายตํา และยาล้างตา
(3) กํารให้ยําทํางหู (Ear instillation) เป็นกํารหยอดยําเข้ําไปในช่องหูชั้นนอก ยําที่ใช้ เป็นยําน้ํา ออกฤทธิ์เฉพําะเยื่อบุในช่องหู มักเป็นยําชําหรือยําฆ่ําเชื้อโรคเฉพําะที่
(1) การสูดดม (Inhalation) เป็นกํารให้ยาในรูปของก๊าซ (Gas) ไอระเหย (Vapor) หรือ ละออง (Aerosol) สํามํารถให้โดยการพ่นยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ เพื่อให้ยําไปสู่บริเวณที่ต้องการให้ยาออก ฤทธิ์ ยําออกฤทธิ์แบบเฉพาะที่หรือแบบทั่วร่างกาย การให้ยาด้วยวิธีนี้ใช้เพื่อให้ยําดูดซึมในส่วนลึกของ ระบบทํางเดินหายใจที่มีเส้นเลือดขนําดเล็กอยู่มําก ดังนั้นการดูดซึมยาจะเร็ว ทางที่พ่นยํามีทั้งกํารพ่นทําง จมูก ทํางปําก และทํางท่อช่วยหํายใจ
(4) กํารหยอดยําจมูก (Nose instillation) ให้ผู้ป่วยเงยหน้ําขึ้น และพยําบําลยกปีกจมูก ผู้ป่วยข้ํางที่จะหยอดยําขึ้นเบําๆ แล้วหยดยาผ่านทํางรูจมูกห่างประมําณ 1-2 นิ้ว จํากนั้นให้ผู้ป่วยอยู่ในท่า เดิมประมําณ 5 -10 นําที เพื่อป้องกันยําไหลย้อนออกมา
(5) การเหน็บยา เป็นการให้ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ด เข้าทางเยื่อบุตามอวัยวะต่าง ๆ
เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error) คือ ความคลาดเคลื่อนที่พบในใบสั่งยา (ใบ Order) อาจเกิดจากแพทย์เขียนผิดพลาด หรือไม่ชัดเจนรวมถึงการเลือกใช้ยาผิด การเลือกขนาดยา
ผิด การเลือกรูปแบบยาผิด การสั่งยาในจำนวนที่ผิด การเลือกวิถีทํางให้ยําผิด กํารเลือกความเข้มข้นของ ยําผิด การเลือกอัตรําเร็วในกํารให้ยําผิด หรือการให้คําแนะนําการใช้ยาผิด การสั่งยาผิดตัวผู้ป่วย หรือกําร ไม่ระบุชื่อยา ความแรง ความเข้มข้น ความถี่ของกํารใช้ยํา ที่ทําให้เกิดความคลาดเคลื่อนที่ส่งผลถึงตัว ผู้ป่วย ความคลาดเคลื่อนในกํารสั่งใช้ยํา
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคาสั่งใช้ยา (Transcribing error) คือ ควํามคลําดเคลื่อน ของกระบวนกํารคัดลอกคําสั่งใช้ยาจากคําสั่งใช้ยําต้นฉบับที่ผู้สั่งใช้ยําเขียน จําแนกตํามสถํานที่ที่เกิดควําม
คลําดเคลื่อนขึ้น
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (Dispensing Error) คือ ความคลาดเคลื่อนใน กระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยําไม่ถูกต้องตํามที่ระบุในคําสั่งใช้ยา ได้แก่ ผิดชนิดยํา รูปแบบยา ความแรงยา ขนําดยํา วิธีใช้ยํา จํานวนยําที่สั่งจ่าย จ่ายยาผิดตัวผู้ป่วย จ่ายยาที่เสื่อมสภําพ หรือหมดอํายุ จ่ายยาที่ไม่มีคําสั่งใช้ยํา เตรียมยาผิด เช่น เจือจํางหรือผสมผิด ใช้ภาชนะบรรจุยําไม่เหมําะสม ฉลากยาผิด หรือไม่มีผู้ป่วยรับยํา ชื่อผู้ป่วยผิด หรือชื่อยําผิด เป็นต้น ซึ่งความคลาดเคลื่อนนี้ส่งผลให้ผู้ป่วย ได้รับยําที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมําะสม
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error) คือ การบริหารยาที่ แตกต่างไปจากคําสั่งใช้ยาของผู้สั่งใช้ยําที่เขียนไว้ในใบบันทึกประวัติการรักษาผู้ป่วย หรือความคลาด เคลื่อนที่ทําให้ผู้ป่วยได้รับยาผิดไปจากความตั้งใจในกํารสั่งยําของผู้สั่งใช้ยา
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย การบริหารยาให้มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อน ทางการให้ยา
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Competencies of nurses for Rational Drug Use)
คณะทํางานจัดทํารูปแบบการบรรจุหลักสูตรการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในหลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑิตของสภาการพยาบาล ได้คัดเลือกสมรรถนะย่อยในแต่ละด้านของกรอบสมรรถนะกลางของ 5 สภา วิชาชีพ ให้สอดคล้องกับบริบทการปฏิบัติการพยาบาลของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุง ครรภ์
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจําเป็น (Consider the options)
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกที่ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย (Reach a shared decision)
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information)
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้ (Monitor and review)
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribesafely)
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริย
ศาสตร์ (Prescribe professionally)
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง (Improve prescribing
practice)
สามารถทํางานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
(Prescribe as part of a team)
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
กระบวนการพยาบาลในการให้ยาประกอบด้วย การประเมินสภาพ (assessment) การวินิจฉัย การพยาบาล (diagnosis) การวางแผน (planning) การปฏิบัติการให้ยา (implementation) และ การ ประเมินผล (evaluation) ดังนั้นในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่มี มีขั้นตอน
การวางแผนการพยาบาล หลังจากได้ข้อมูลและปัญหาหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทำการ วางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร ผู้ป่วยจึงจะได้ยาถูกต้อง ครบถ้วน ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดหรือได้รับ อันตราย โดยการตั้งเกณฑ์การประเมินของแต่ละข้อวินิจฉัยการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล เป็นการปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดยยึดหลัก ความถูกต้อง 7 ประการ และคํานึงถึงบทบาทพยาบาลในการให้ยาตามที่ได้กล่าวข้างต้น รวมไปถึงการ บันทึกหลังการให้ยาด้วยปฏิบัติตามหลักการบริหารยาทลี่งมือปฏิบัติจริง
การวินิจฉัยการพยาบาล เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินสภาพได้ทั้งหมดแล้วนำมาจัด หมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นปัญหา ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาที่จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมาได้ ในขั้นตอนแรก แล้วให้การวินิจฉัยพยาบาล
การประเมินผล เนื่องจากยาที่ให้นอกจากจะมีผลทางการรักษา แล้วยังอาจทําให้เกิดปฏิกิริยา ที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ดังนั้นหลังจํากให้แล้วต้องกลับมาตามผลทุกครั้ง เพื่อดูผลของยาต่อผู้ป่วยทั้ง ด้านการรักษา และผลขางเคียงที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงการแพ้ยาด้วย โดยประเมินดูว่าเป็นไปตามเกณฑ์ การประเมินที่ตั้งไว้ในขั้นตอนการวางแผนหรือไม่
1.การประเมินสภาพ ก่อนให้ยาต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ป่วยและยาที่จะให้ผู้ป่วย ต้องทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้ยา ภาวะขณะที่จะให้ยา เช่น งดน้ํางดอาหารทางปากอยู่ หรือการได้รับสารน้ําหรือ ให้เลือด สิ่งเหล่านี้ทําให้พยาบาลอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการให้ยา สําหรับยาที่ให้ต้องประเมินว่าอยู่ในสภาพ ที่ไม่หมดอายุ โดยพยาบาลต้องการศึกษาข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการรักษา และซักประวัติ ต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัยที่มีอิทธิพลในการออกฤทธิ์ของยา ได้แก่ อายุ เพศ ภาวะสุขภาพ ภาวะจิตใจ ทางที่ ได้รับยา สิ่งแวดล้อม ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น รวมทั้งการประเมินข้อมูลด้านอื่นๆ