Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระ
ความสาคัญของการขับถ่ายอุจจาระ
ในภาวะปกติอุจจาระจะมีส่วนประกอบเป็นน้ำประมาณร้อยละ 70-80 ส่วนที่เป็น ของแข็งครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นแบคทีเรีย โดยส่วนใหญ่สารอาหารและสิ่งที่มีคุณค่าจากอาหาร จะ ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางลาไส้เล็กก่อนที่อาหารจะเดินทางเข้าสู่ลาไส้ใหญ่
เส้นใยอาหาร ประเภทเซลลูโลสและลิกนินซึ่งไม่ถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียจะเหลืออยู่ในอุจจาระและช่วยอุจจาระ อุ้มน้ำไว้ น้ำหนักของอุจจาระขึ้นอยู่กลับปริมาณของเส้นใยอาหาร หากรับประทานอาหารที่มีเส้นใย อาหารต่างน้ำหนักอุจจาระเฉลี่ยวันละ75 กรัมในคนที่บริโภคอาหารที่มีเส้นใยสูงน้ำหนักอุจจาระ อาจสูงถึงวันละ 500 กรัมได้ ในคนไทยโดยเฉลี่ยวันละ 150 กรัม มากกว่าค่าเฉลี่ยของชาวตะวันตก ประมาณเท่าครึ่ง
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขับถ่ายอุจจาระ
นอกจากการบีบตัวของลำไส้ทำให้เกิดการบีบไล่กากอาหารออกจากลำไส้เป็นอุจจาระ Follows Jane (2015) สรุปปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่ายอุจจาระ
อายุ (Age) ในเด็กเล็ก ความสามารถในการควบคุมการขับถ่ายได้เมื่ออายุ
ชนิดของอาหารที่รับประทาน (Food intake) อาหารจาพวกพืชผัก ผลไม้
ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake) น้ำจะเป็นตัวสาคัญที่ทำให้ อุจจาระมีลักษณะนุ่มพอดี ไม่แห้ง แข็งเกินไป ทำให้อุจจาระอ่อนตัว และยังช่วยกระตุ้นให้มีการ เคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ได้ดี ทำให้มีการถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น
การเคลื่อนไหวของร่างกาย(Body movement) การเคลื่อนไหวของ ร่างกาย จะช่วยทำให้การทำงานของลำไส้เป็นไปอย่างปกติ ส่งผลให้มีถ่ายอุจจาระได้ปกติ ผู้ป่วยที่ เคลื่อนไหวได้น้อย หรือถูกจำกัดการเคลื่อนไหวจะทำให้การทำงานของลำไส้ลดลง
อารมณ์ (Emotion) เมื่ออารมณ์มีการเปลี่ยนแปลง เช่น หงุดหงิด หรือวิตก กังวล เป็นต้น จะทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมน และการทำงานของระบบประสาท Sympathetic มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวเพิ่มข้ึนหรือลดลงได้
ความเหมาะสม (Opportunity) สิ่งแวดล้อมมีส่วนช่วยในการขับถ่าย สถานที่ไม่เป็นส่วนตัว หรือห้องน้าไม่สะอาดส่งผลให้บุคคลไม่อยากถ่ายอุจจาระจึงกลั้นอุจจาระ และ ทาให้เกิดอาการท้องผูกได้ และท่าทางในการขับถ่าย
ยา (Medication) อาการข้างเคียงของยาบางชนิดมีผลต่อระบบทางเดิน อาหารอาจทาให้ลาไส้เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
การตั้งครรภ์ (Pregnancy) เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ทารกในครรภ์โตขึ้นมด ลงก็ขยายตัวโตด้วย ทาให้จะไปเบียดกดลาไส้ส่วนปลาย ในการเบ่งถ่ายอุจจาระจึงต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกเป็นประจำ
อาการปวด (Pain) โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid) การผ่าตัดส่วนลาไส้ ตรง (Rectal surgery) และการผ่าตัดหน้าท้อง (Abdominal surgery) เมื่อมีอาการปวดถ่ายอุจจาระ ผู้ป่วยจะไม่ยอมเบ่งถ่ายอุจจาระเพราะกลัวเจ็บทำให้อั้นอุจจาระไว้ จึงส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก ตามมา
การผ่าตัดและการดมยาสลบ (Surgery and Anesthesia) การดมยาสลบ ชนิดทั่วไป (General anesthesia: GA) เป็นสาเหตุของการเกิด ลดลง และขณะทาการ ผ่าตัดจะไปกระทบกระเทือนการทางานของลำไส้ทำให้เกิด ลดลงชั่วคราว เรียกว่า “Paralytic ileus” อาจใช้เวลาหลายชั่วโมง หรือหลายวันในการกลับคืนสู่การทางานปกติ
การตรวจวินิจฉัยโรค (Diagnostic test) การตรวจวินิจฉัยโรคของระบบ ทางเดินอาหารส่งผลรบกวนการทำงานของลำไส้ชั่วคราว ซึ่งมีความจำเป็นต้องทำให้ลำไส้สะอาด ผู้ป่วยต้องได้รับ การงดน้ำและอาหาร (NPO) หรือรับประทานอาหารเหลวใส (Clear liquid) หรือทา การสวนอุจจาระ(Enema) จนทาให้ลำไส้สะอาดก่อนการส่งตรวจเรียกว่า “การเตรียมลำไส้” (Bowel prep)
ลักษณะของอุจจาระปกติและสาเหตุของอุจจาระที่ผิดปกติ
Type 1.Separate hard lumps, like nuts (Difficult to pass) ลักษณะแข็งคล้ายเมล็ดถั่ว คนไทยเรียกว่า “ขี้แพะ”
Type 2 Sausage shaped but lumpy
(ลักษณะยาวแต่เป็นก้อน)
Type 3 Like a sausage but with cracks on surface
(ลักษณะยาวหรือขดม้วน แต่พื้นผิวบนนุ่ม ๆ)
Type 4 Like a sausage or snake, smooth and soft
(ลักษณะยาวหรือขดม้วน เรียบ และนุ่ม)
Type 5
Soft blobs with clear-cut edges
(ลักษณะเป็นก้อนนุ่ม ๆ แยกออกจากันชัดเจน)
Type 6
Fluffy pieces with ragged edges, a mushy stool (ลักษณะเป็นก้อนนุ่มปุย มีขอบขยักไม่เรียบ)
Type 7
Watery, no solid pieces (entirely liquid) (ลักษณะเป็นน้ำไม่มีเนื้ออุจจาระปน)
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายอุจจาระ
การถ่ายอุจจาระของคนเรามีความแตกต่างกัน ปกติคนทั่วไปถ่ายอุจจาระอยู่ในวิสัย ระหว่างสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถึงวันละ 3 ครั้ง ผู้ที่ถ่ายอุจจาระน้อยกว่าสัปดาห์ 3 ครั้งอาจถือว่า “ท้องผูก” และผู้ที่ถ่ายอุจจาระมากกว่าวันละ3ครั้งอาจเรียกว่า“ท้องเดิน”
ภาวะท้องผูก (Constipation)
สาเหตุ ภาวะท้องผูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
1) ภาวะท้องผูกแบบปฐมภูมิ โดยภาวะท้องผูกปฐมภูมินี้มีความสัมพันธ์กับการ
รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ภาวะขาดน้า การเคลื่อนไหวลดลงแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง
2) ภาวะท้องผูกแบบทุติยภูมิ อาจเกิดจากความเจ็บปุวยหรือการรักษาด้วยยา มี
ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
(1) ฝิ่น หรือยาระงับปวดที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่นที่ส่งผลต่อแรงตึงตัวของ
กล้ามเนื้อเรียบของลาไส้ ยับยั้งการเคลื่อนไหวของลาไส้ เพิ่มแรงตึงตัวของหูรูด และลดความไวต่อการ ขยายตัวของทวารหนัก
(2) การอุดกั้นของระบบทางเดินอาหาร จากการล่าช้าของการขับถ่ายทาให้ อุจจาระแข็ง และเกิดก้อนเนื้อของลาไส้หรือก้อนเนื้อของเชิงกราน ทาให้เกิดการอุดตัน
3) ความผิดปกติในการทาหน้าที่ของไขสันหลัง อันเป็นผลของการไม่ เคลื่อนไหว การสูญเสียการรับความรู้สึกของทวารหนัก การลดลงของความตึงตัวของทวารหนักและ สาไส้ใหญ่
(4) ภาวะท้องผูกจากการลดลงของการเคลื่อนไหวของลาไส้และเกี่ยวข้องกับ ความผิดปกติของประสาทที่ลาไส้ และการติดยาระบาย
(5) การทาหน้าที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อพื้นเชิงกราน จากการหดรัดตัวที่ผิด ปกติของกล้ามเนื้อและหูรูดระหว่างการขับถ่าย ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะท้องผูกจากการอุดกั้นทางออก ของอุจจาระ
(6) ภาวะผิดปกติของลาไส้ มีความสัมพันธ์กับภาวะท้องผูก ซึ่งอาจเกี่ยวข้อง กับความไวต่อการกระตุ้นของอวัยวะภายในและการเคลื่อนไหวของลาไส้ผิดปกติ
ผลที่เกิดจากภาวะท้องผูก
1) เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ปวดท้อง ไม่สุขสบายเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดศีรษะวิงเวียน
2) เกิดอาการปากแตก ลิ้นแตก ลมหายใจเหม็น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
เป็นโรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid) เกิดจากอุจจาระที่แห้งแข็งกดหลอด เลือดดารอบๆ ทวารหนัก ทาให้เลือดไหลกลับไม่สะดวกเกิดโปุงพอง และแตกได้
4) แบคทีเรียในลาไส้ จะเปลี่ยนยูเรียจากกากอาหาร เป็นแอมโมเนีย ดูดซึมเข้า กระแสเลือดไปยังสมองในผู้ปุวยโรคตับจะเกิดอาการ Hepatic encephalopathy คือ ภาวะที่ผู้ปุวย
Hepatic coma ทาให้เสียชีวิตได้
5) ถ้าทิ้งไว้นานอุจจาระอาจอัดกันเป็นก้อนแข็งหรือผนังลาไส้หย่อนตัวเป็นถุง สะสมอุจจาระไว้ พบในผู้ปุวยสูงอายุ หรือผู้ปุวยอัมพาต
6) การกลั้นอุจจาระไม่ได้ (Incontinence) เนื่องจากก้อนอุจจาระไปกดปลาย ประสาทของกล้ามเนื้อหูรูดที่ควบคุมการขับถ่ายสูญเสียหน้าที่
ภาวะท้องอืด (Flatulence หรือ Abdominal distention)
สาเหตุ
มีการสะสมของอาหารหรือน้ามาก อาหารไม่ย่อย รับประทานอาหารมาก
เกินไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2) มีแก๊สในกระเพาะอาหารหรือลาไส้ปริมาณมาก
3) มีการสะสมของอุจจาระมาก เนื่องจากไม่ได้ขับถ่ายออกตามปกติ
4) ปริมาตรของช่องท้องลดลงจากความผิดปกติของอวัยวะที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ตับโต ม้ามโต ท้องมานน้า (Ascites ) เป็นต้น
การพยาบาลผู้ปุวยที่มีภาวะท้องอืด
1) จัดท่านอน ให้นอนศีรษะสูง 45-60 องศา เพื่อให้กระบังลมหย่อยตัว ปอด
ขยายตัวได้ดีขึ้นลดอาการแน่นหน้าอกและทาให้หายใจสะดวก
2) อธิบายสาเหตุและวิธีการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการท้องอืด แสดงความเห็นอก
เห็นใจและให้กาลังใจ
ค้นหาสาเหตุของอาการท้องอืดและให้การช่วยเหลือตามสาเหตุ
3.1 สาเหตุจากการถูกจากัดการเคลื่อนไหวหรือความสามารถในการขยับตัว ได้ลดลงหรือหลังการผ่าตัดไม่ยอมขยับตัวเนื่องจากมีความกลัวต่าง ๆ
1) อธิบายการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพื่อกระตุ้นการบีบตัวของลาไส้ให้
2) กระตุ้นและช่วยเหลือเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การพลิกตะแคง ตัวบนเตียง จัดท่านอนศีรษะสูง การลุกออกจากเตียง เป็นต้น
3) การใส่สายทางทวารหนัก (Rectal tube) เพื่อระบายลม ซึ่งคล้าย การสวนอุจจาระ แตกต่างกันที่ไม่ได้ใส่สารใดๆ เข้าในลาไส้ใหญ่ส่วนล่าง และวัตถุประสงค์ของการ
สวนเป็นการระบายแก๊สออกจากลาไส้
4) พิจาณาการใช้ยา อาจให้ยาช่วยย่อยอาหาร ยาขับลม ทาให้เรอ
ผายลม หลังให้ยา และทาให้สุขสบายขึ้น หรืออาจให้ยาก่อนใส่สายทวารหนักเพื่อระบายลม
ผลของการกลั้นอุจจาระไม่ได้
เป็นที่ทราบกันแล้วว่าอุจจาระเป็นเรื่องของสิ่งสกปรก น่ารังเกียจและน่าอับอาย เป็น เรื่องที่เป็นส่วนตัวเป็นความลับ ไม่สมควรแสดงออกต่อสาธารณะชน ดังนั้นผลของการกลั้นอุจจาระ ไม่ได้จึงมีผลตอ่ ด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ
1) ผลด้านนร่างกาย
เนื่องด้วยการขับถ่ายอุจจาระที่ควบคุมไม่ได้ จึงทาให้มีอุจจาระไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว จึงเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและอาจเกิดแผลจากการระคายเคืองเสียดสีของผิวหนังบริเวณรอบรู ทวารซึ่งผิวหนังมีลักษณะอ่อน และเกิดความสกปรกเปรอะเปื้อนของเสื้อผ้าและเครื่องใช้
2) ผลดา้ นจิตใจ
เนื่องด้วยอุจจาระเป็นเรื่องของความไม่สะอาดทั้งกลิ่นและสิ่งขับถ่าย อุจจาระจึงทา ให้เกิดการสูญเสียความรู้สึกมีคุณค่าและความนับถือต่อตนเอง และอาจส่งผลรุนแรงมากขึ้นจาก ปฏิกิริยาของบุคคลที่อยู่รอบข้างซึ่งมีการแสดงออกถึงความน่ารังเกียจต่อสิ่งที่ได้รับรู้
3) ผลด้านสังคม
เนื่องด้วยการถ่ายอุจจาระ เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องควรระมัดระวัง เมื่อการกลั้น อุจจาระไม่ได้ เป็นเรื่องน่าอับอายส่งผลให้ไม่ต้องการออกสังคม หรือพบปะผู้คนโดยไม่มีเหตุจาเป็น จึง กลายเป็นคนแยกตัวออกจากสังคม
4) ผลด้านจิตวิญญาณ
สืบเนื่องด้วยผลกระทบด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ส่งผลให้ด้านจิตวิญญาณ คือ ความรู้สึกเสียคุณค่าในตนเองลดลง และขาดการแสดงออกถึงความต้องการการมีส่วนร่วมในกิจกรรม ทางศาสนากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคต
การพยาบาลผู้ป่วยทกี่ลั้นอุจจาระไมไ่ด้
1) ด้านร่างกาย
(1) ความสะอาดทั่วไปของร่างกาย
(2) การควบคุมการขับถ่ายอุจจาระโดยใช้วิธีการฝึกถ่ายอุจจาระเป็นเวลาเลือก เป็นเวลาที่สะดวก เช่น ตอนเช้าตรู่ เป็นต้น
(3) ให้การดูแลผิวหนังให้สะอาด และแห้งตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังการขับถ่าย อุจจาระทุกครั้งเพื่อปูองกันการระคายเคืองและเกิดแผล
(4) ดูแลเสื้อผ้า ที่นอน ให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
(5) รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการเกิดโรคหวัด ซึ่งจะทาให้มีอาการไอ จาม อาจทาให้มีอุจจาระเล็ดออกมาขณะไอและจามได้ ส่งผลให้ขาดความมั่นใจในการใช้ ชีวิตประจาวัน
ด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ
การดูแลเรื่องจิตใจเป็นสิ่งสาคัญ เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะเก็บกด (Depression) พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม และเก็บตัวไม่ยอมรับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป ดังนั้นผู้ดูแลจึงควรให้ กาลังใจ และสร้างเสริมกาลังใจกับผู้ปุวยให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และกล้าที่ออก สังคมอย่างมั่นใจ ส่วนด้านจิตวิญญาณให้ทาสมาธิและมีสติรู้อยู่เป็นปัจจุบันตลอดเวลา เอาธรรมะเป็น ที่พึ่งและปล่อยวาง จะช่วยทาให้ใจเกิดปีติในใจและสุขใจ
ภาวะท้องเสีย (Diarrhea)
ภาวะท้องเสีย หรืออุจจาระร่วง หมายถึง การเพิ่มจานวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ
และการที่อุจจาระเป็นน้าเหลว หรือมีมูกปน โดยถือว่าถ่ายเป็นน้าเหลว 3 ครั้งในเวลา 12 ชั่วโมง หรือ ถ่ายเป็นน้าปนมูกเพียงครั้งเดียว มักกลั้นอุจจาระไว้ไม่ได้นาน หรือกลั้นไม่ได้เลย
สาเหตุของภาวะท้องเสีย
1) จากอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม เป็นต้น
2) จากการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ และอารมณ์ จนทาให้เกิดการเจ็บปุวยที่แสดง
ออกทางร่างกาย เรียกว่า “Psychosomatic disorder”
3) การได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและมีอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
(Side effect) เช่น Ceftriaxone (Cef-3), Claforan, Azithromycin, Levefloxacin เป็นต้น
ผลที่เกิดจากภาวะท้องเสีย
1) เกิดภาวะเสียสมดุลน้าและเกลือแร่ในร่างกาย (Electrolyte imbalance) สูญเสียทาให้ร่างกายอ่อนเพลีย น้าหนักลด มีอาการของภาวะการขาดน้า (Dehydration) ถ้าเป็น เรื้อรัง ทาให้เกิดภาวะขาดอาหารได้ ในกรณีที่มีอาการอุจจาระร่วง/ท้องเสียอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทาให้ร่างกายสูญเสียไบคาร์บอเนต (CHO 3) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นดา่ ง ส่งผลให้เกิดภาวะกรดเกิน (Acidosis) ในร่างกายได้
2) เกิดความไม่สุขสบาย ปวดท้อง เนื่องจากการบีบตัวของลาไส้และการถ่าย อุจจาระหลาย ๆ ครั้ง เป็นการรบกวนการใช้ชีวิตประจาวันและการพักผ่อน
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องเสีย
1) ประเมินสภาพผู้ป่วย
(2) แสดงการช่วยเหลือด้วยท่าที่เหมาะสมและเต็มใจ
(3) ให้โอกาสผู้ปุวยได้อยู่ตามลาพัง แต่ไม่ควรทิ้งผู้ปุวยหมั่นดูอาการเป็น ระยะๆ และเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกจากผู้ปุวย
(1) ช่วยเหลือผู้ปุวยให้ถ่ายได้ทัน ไม่หกเรี่ยราด เลอะเทอะ และอานวยความ สะดวกสบายให้แก่ผู้ปุวย
(2) แสดงการช่วยเหลือด้วยท่าที่เหมาะสมและเต็มใจ
(3) ให้โอกาสผู้ปุวยได้อยู่ตามลาพัง แต่ไม่ควรทิ้งผู้ปุวยหมั่นดูอาการเป็น ระยะๆ และเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกจากผู้ปุวย
(4) ช่วยเหลือชาระล้างและทาความสะอาดหลังการถ่ายอุจจาระ
การถ่ายอุจจาระทางหน้าท้อง (Fecal diversion)
Colostomyเป็นทวารหนักชนิดลาไส้ใหญ่ลาไส้ที่นามาเปิดออกหน้าท้องมี ตาแหน่ง
1.1 Ascending colostomy นาส่วนต้นของลาไส้ใหญ่มาเปิดออกชนิดนี้จะ
ค่อนข้างใหญ่ อยู่ด้านขวาของหน้าท้องส่วนล่าง อุจจาระเป็นน้ามีเนื้อปนเล็กน้อย (Semi liquid stool) มีฤทธิ์ความเป็นด่างค่อนข้างสูง มีกลิ่นอุจจาระค่อนข้างแรง
1.2 Transverse colostomy (Loop colostomy) นาส่วนขวางของลาไส้ใหญ่มา เปิดออก ส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดแบบชั่วคราว อุจจาระที่ออกค่อนข้างเหลว (Mushy stool)
อุจจาระมีฤทธิ์ความเป็นด่าง มีกลิ่นอุจจาระแรงมาก
1.3 Sigmoid colostomy (End colostomy) นาส่วนปลายของลาไส้ใหญ่มา
เปิดออก ส่วนใหญ่จะเปิดถาวรอยู่บริเวณหน้าท้องส่วนล่างด้านซ้าย มักทาในผู้ปุวยที่เป็นมะเร็งทวาร หนักและหูรูด อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อน (Form soft stool) ไม่มีฤทธิ์ความเป็นด่างแล้ว เนื่องจาก สารอาหารและน้าถูกดูดซึมที่ลาไส้ใหญ่หมดแล้วเหลือแต่กากอาหาร กลิ่นอุจจาระสามารถควบคุมได้
การพยาบาลผู้ป่วยที่ถ่ายอุจจาระทางหน้าท้อง
หลังการผ่าตัดในระยะแรกพยาบาลต้องเป็นผู้ให้การดูแล แล้วค่อย ๆ เริ่มสอนผู้ปุวยให้
ดูแลตนเองตามความสามารถทางร่างกาย ปรับให้เข้ากับแผนการดาเนินชีวิตในแต่ละวัน
1) ระยะที่ 1 หลังผ่าตัด 4-5 วัน ทาความสะอาดแบบการทาแผลด้วยเทคนิค ปราศจากเชื้อ เพื่อปูองกันการติดเชื้อของแผลผ่าตัด การดูแลทาความสะอาดบริเวณ Stoma และ ผิวหนังรอบ ๆ Stoma ระยะแรกจะมีอุจจาระไหลออกมามาก และอาจเป็นน้าค่อนข้างเหลว ไม่เป็น
(2) ระยะที่ 2 หลังผ่าตัด 7-10 วัน แผลผ่าตัดจะเริ่มติดดี และเริ่มมีอุจจาระออกทาง Stoma ให้ใช้สาลีสะอาด และน้าต้มสุกทาความสะอาด Stoma และผิวหนังรอบ ๆ แล้วซับให้แห้ง เปิดด้วยถุงรองรับอุจจาระ
(3) ระยะที่3 หลังผ่าตัด6-8 สัปดาห์แผลจะยุบบวมและมีขนาดคงที่ระยะนี้ สามารถทาความสะอาดด้วยน้า และสบู่อ่อน แล้วซับให้แห้ง ขณะอาบน้าสามารถทาความสะอาด เหมือนการล้างทวารหนักตามธรรมดา ไม่จาเป็นต้องปิดด้วยถุงขณะอาบน้า เนื่องจากน้าจะไม่ผ่านเข้า เพราะลาไส้จะบีบตัวจากส่วนต้นไปยังส่วนปลายเสมอ
2) การปิดถุงรองรับอุจจาระ เมื่อทาความสะอาด Stoma และผิวหนังรอบ ๆ แล้ว ต้อง ปิดด้วยถุงรองรับอุจจาระเพื่อปูองกันผิวหนังรอบ ๆ สัมผัสกับอุจจาระที่ผ่านออกจากลาไส้ ทาให้ ระคายเคือง และเป็นแผลได้ง่าย ซง่ึ ชนิดของถุงรองรับอุจจาระ แบ่งเป็น 2 ชนิด ดังนี้
(2) ถุงปลายปิด ใช้สาหรับอุจจาระที่ค่อนข้างเป็นก้อน ใช้ได้ทั้งระบบชิ้นเดียวหรือ สองชิ้น และเปลี่ยนถุงอย่างน้อยวันละครั้ง
(1) ถุงปลายเปิด ใช้สาหรับของเสียที่เป็นน้า อุจจาระเหลว และมีปริมาณมาก เช่น ผู้ปุวยที่มีIleostomy หรือTransverse colostomy อาจเปลี่ยนถุงทุก3 วันหรือมากกว่านั้น แล้วแต่ความจาเป็น ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ และผิวหนังรอบรูทวารเทียม อาจจะใช้ได้ทั้งอุปกรณ์ระบบ ชิ้นเดียวหรือ สองชิ้น
3) การรับประทานอาหารที่เหมาะสม ผู้ปุวยต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร ควรทราบถึงการเลือกชนิดของอาหารที่มีผลต่อการขับถ่ายอุจจาระดังนี้
(2) รับประทานอาหารที่ปูองกันอาการท้องผูกเช่น น้าผลไม้ ผักผลไม้ เป็นต้น
(3) หลีกเลี่ยงอาหารที่ทาให้เกิดแก็ส เช่น น้าอัดลม ถั่วกะหล่าปลี ผักขม เป็นตน้
และควรหลีกเลี่ยง การเคี้ยวหมากฝรั่ง สูบบุหรี่ การเคี้ยวอาหารปิดปากไม่สนิท การดูดน้าจากหลอด (อาจมีลมเข้าปากและสู่ลาไส้)
(1) หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรืออาหารหมักดอง เพราะอาจทาให้ท้องเดิน
(4) หลีกเลี่ยงอาหารที่ทาให้เกิดกลิ่น เช่น ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง กระเทียม เครื่องเทศ หัว หอม สะตอ ผักกระถิน ชะอม ส่วนอาหารที่ลดกลิ่น เช่น คะน้า ตาลึง ผักบุ้ง โยเกิรต์ เป็นต้น
(5) ควรรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ในเวลาเดียวกันทุก ๆ วัน
4) การออกกาลังกายและการทำงาน
(1) ระยะแรก ผู้ปุวยควรออกกาลังกายเบา ๆ เช่น เดินเล่นและทากิจวัตร ประจาวันได้ด้วยตนเอง หลังผ่าตัด 6 สัปดาห์ ทางานที่ไม่ต้องใช้แรงกายมากได้
(2) หลังผ่าตัด 3-6 เดือน ออกกาลังกายได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องกระแทก กัน เช่น ชกมวย มวยปล้า ปูองกันแรงกระแทก
การทำความสะอาดแผลทวารเทียม
เนื่องด้วยลาไส้ที่เปิดออกมาทาหน้าที่ระบายอุจจาระออกมามีถุงรองรับ เมื่อต้องเปลี่ยน ถุงรองรับ ด้วยการดึงถุงที่มีกาวติดกับผิวหนังออก แล้วใช้ลาสีสะอาดชุบน้าสะอาดเช็ดทาความสะอาด Stoma ก่อน แล้วเช็ดผิวหนังรอบ ๆ ให้สะอาด เช็ดด้วยสาลีแห้ง แล้วปิดถุงใหม่ลงไป สังเกตรอยแดง หรือผื่น และระวังมีแผลถลอกจากการดึงพลาสติกกาวที่ติดแน่นกับผิวหนัง
คำแนะนำสำหรับผู้ปุวยผ่าตัดเปิดลาไส้ทางหน้าท้อง
คาแนะนาสาหรับผู้ปุวยผ่าตัดเปิดลาไส้ทางหน้าท้อง ชมรมฟื้นฟูสภาพผู้ปุวยโรคมะเร็ง (2553)กล่าวไว้ว่าหลังผ่าตัดประมาณ7-10 วันแผลที่บริเวณStoma ก็จะแห้งสนิทและระบบ ขับถ่ายอุจจาระก็จะเข้าสู่ภาวะปกติเช่นกัน ผู้ปุวยจึงสามารถประกอบกิจวัตรประจาวันได้ตามเดิม หลังผ่าตัด 6–8 เดือน สามารถออกกาลังกายได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่หักโหมรุนแรง และ ไม่ควรยก ของหนักเพราะอาจเป็นสาเหตุการเกิดไส้เลื่อนได้ รับประทานอาหารได้ทุกประเภท ยกเว้นบางโรคที่ ต้องควบคุมการรับประทานอาหาร เช่น ผู้ปุวยเบาหวาน โรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
การสวนอุจจาระ
การสวนอุจจาระเป็นการใส่สายสวนและสารละลายเข้าสู่ร่างกาย เพื่อความปลอดภัย ของการสวนอุจจาระมีข้อควรระวังในการสวนอุจจาระ ได้แก่
1) อุณหภูมิของสารน้า อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 105 ̊F (40.5 ̊C)
3) ท่านอนของผู้ปุวย ท่านอนตะแคงซ้ายกึ่งคว่า (Sim’s position)
2) ปริมาณสารละลายใช้สวนอุจจาระ ขึ้นอยู่กับอายุและขนาดร่างกาย
2.2 เด็กอายุ 10 เดือน ถึง 10 ปี ใช้ในปริมาณ 250–500 ml.
2.1 เด็กเล็ก ใช้ในปริมาณ 150–250 ml.
2.3 เด็กอายุ 10–14 ปี ใช้ในปริมาณ 500–750 ml.
2.4 ผู้ใหญ่ ใช้ในปริมาณ 750–1,000 ml.
4) แรงดันของสารน้าที่สวนให้แก่ผู้ปุวยควรแขวนหม้อสวนให้สูงไม่เกิน1ฟุตเหนือ ระดับที่นอน ในเด็กเล็กไม่ควรเกิน 3 นิ้ว
5) การปล่อยน้า เปิด Clamp ให้น้าไหลช้า ๆ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ถ้า สารละลายปริมาณมากอาจใช้เวลานาน 10-15 นาที เพื่อให้ผู้ปุวยเก็บน้าได้หมด
6) ความลึกของสายสวนที่สอดเข้าไปในลาไส้ และลักษณะของสายสวนอุจจาระ การ สอดสายสวนเข้าทวารหนัก สอดลึก 2-4 นิ้ว สายยางที่ใช้ควรเป็นชนิดที่อ่อนนุ่ม โค้งงอได้ง่าย มีรูเปิด 1–2 รูปลายมนหากต้องการให้ผู้ปุวยกักเก็บสารน้าได้ดีควรใช้สายยางขนาดเล็ก
7) การหล่อลื่นหัวสวนด้วยสารหล่อลื่น เช่น KY jelly เป็นต้น หล่อลื่นให้ยาวประมาณ 2-3 นิ้วในผู้ใหญ่ และ 1 นิ้วในเด็ก
อาการแทรกซ้อนจากการสวนอุจจาระ ในการสวนอุจจาระให้แก่ผู้ป่วยมีอาการแทรก ซ้อนที่ควรต้องสังเกตและติดตาม ดังนี้
1) การระคายเคืองต่อเยื่อบุลำไส้
2) ผนังลาไส้ถลอก หรือทะลุ
3) ภาวะเป็นพิษจากน้า (Water intoxication) เป็นภาวะที่ร่างกายได้รับน้าจานวนมาก
เกินไป น้าที่มีความเข้มข้นน้อยนอกเซลล์จึงซึมไปยังที่มีความเข้มข้นสูงในเซลล์ ทาให้น้าในเซลล์มีมาก เกินไปจนเซลล์เสียหน้าที่ ก่อให้เกิดความผิดปกติทางสมองแบบเฉียบพลัน
4) การติดเชื้อ เช่นลาไส้อักเสบ ตับอักเสบ
5) การคั่งของโซเดียม เพราะปกติลาไส้จะดูดซึมโซเดียมได้ดีมาก
6) ภาวะ Methemoglobinemia เป็นภาวะที่เม็ดเลือดแดงในร่างกายลดความสามารถ ในการขนส่งออกซิเจนลง ซึ่งเกิดจากการมี Methemoglobin มากกว่าปกติ ทาให้ Hemoglobin ตัว ดังกล่าวไม่สามารถจับหรือปล่อยออกซิเจนได้ตามปกติ
การเก็บอุจจาระส่งตรวจ
การตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจสุขภาพพื้นฐานการตรวจหนึ่ง หรือการวินิจฉัยโรค เบื้องต้นของโรคระบบทางเดินอาหาร การตรวจอุจจาระเป็นการตรวจที่ง่ายขั้นตอนการตรวจไม่ ยุ่งยากไมเ่จ็บตัวไม่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงการตรวจลักษณะอุจจาระด้วยตาเปล่าร่วมกับการตรวจด้วย กล้องจุลทรรศน์และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจหาความผิดปกติใน ระบบทางเดินอาหาร เช่น ภาวะติดเชื้อ ภาวะเลือดออก มะเร็งในลาไส้ใหญ่ เป็นต้น ทั้งนี้การเก็บ อุจจาระส่งตรวจ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1) การตรวจอุจจาระหาความผิดปกติ (Fecal examination หรือ Stool
examination)
2) การตรวจอุจจาระหาเลือดแฝง (Occult blood) ตรวจในรายที่สงสัยว่า มีเลือดแฝง
ในอุจจาระ เช่น ผู้ปุวยมะเร็งลาไส้ ผู้ปุวยมีพยาธิปากขอ เป็นต้น
ชนิดการเก็บอุจจาระส่งตรวจ
3) การตรวจอุจจาระโดยการเพาะเชื้อ (Stool culture) เพื่อนาไปเพาะเชื้อ เลี้ยงเชื้อ แบคทีเรียและดูความไวต่อยาของเชื้อที่เพาะได้
อุปกรณเ์ครื่องใช้
1) ภาชนะมีฝาปิดมิดชิด
2) ใบส่งตรวจ
3) ไม้แบน สาหรับเขี่ยอุจจาระ
4) กระดาษชาระ
5) หม้อนอน
วิธีปฏิบัติ
(3) ส่งห้องปฏิบัติการทันทีภายใน 30 นาที พร้อมใบส่งตรวจ
(1) อธิบายให้ผู้ปุวยทราบ และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บอุจจาระส่ง ตรวจ รวมทั้งวิธีการเก็บตัวอย่าง ให้ระวังการปนเปื้อนปัสสาวะ น้า และสิ่งปนเปื้อนอื่น
(4) ลงบันทึกทางการพยาบาล ลักษณะ สี กลิ่น สิ่งเจือปน
(2) ให้ผู้ปุวยถ่ายอุจจาระลงในหม้อนอนที่สะอาดและแห้ง ใช้ไม้แบนเขี่ย อุจจาระจานวนเล็กน้อยใส่ภาชนะ รีบปิดภาชนะทันที และใส่ถุงพลาสติกหุ้มอีกชั้น
สาหรับการตรวจอุจจาระเพื่อหาเลือดแฝง
2) การเก็บอุจจาระส่งตรวจเพาะเชื้อ มีวิธีการปฏิบัติ ดังนี้
(1) ให้ผู้ปุวยเบ่งถ่ายเล็กน้อย ใช้ไม้พันสาลีใส่เข้าไปในรูทวาร 1-2 นิ้ว แล้วจุ่ม ไม้พันสาลีลงในอาหารเลี้ยงเชื้อ ปิดฝาทันที (ภาชนะที่ใช้เก็บตัวอย่างอุจจาระต้องปลอดเชื้อและมี อาหารเลี้ยงเชื้อ เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4-10 ̊C ระวังการปนเปื้อน อาจทาให้ผลการตรวจ คลาดเคลื่อน)
(3) ลงบันทึกทางการพยาบาล ลักษณะ สี กลิ่น สิ่งเจือปน ในปัจจุบันมีชุดตรวจอุจจาระหาเลือดแฝง สะดวกในการตรวจและแปลผล ได้เอง (Follows
Jane, 2015) ดังรูปที่ 10.5
(2) ส่งห้องปฏิบัติการทันทีภายใน 30 นาที พร้อมใบส่งตรวจ
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระ
ตัวอย่าง หญิงไทยรายหนึ่ง อายุ 35 ปี ให้ประวัติว่ามีอาการท้องผูกต้องใช้ยาระบายก่อนนอน เป็นประจาทุกคืน และมีพฤติกรรมไม่ชอบรับประทานผักและผลไม้ ดื่มน้าน้อยวันละไม่ถึง 1,000 ml. จงประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการให้การส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระสาหรับหญิงรายนี้
การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)
S: “ทานยาระบายก่อนนอนเป็นประจาทุกคืน ไม่ชอบอาหารประเภทผัก และผลไม้”
O: จากการตรวจร่างกาย พบAbdomen: Distension, Tympanic sound, Decrease
bowel sound 1-2 time/min
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปุวยมีพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง
เกณฑ์การประเมินผล
ถ่ายอุจจาระได้โดยไม่ใช้ยาระบาย
มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีกากใยเช่นผักผลไม้และดื่มน้า อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับถ่ายอุจจาระ
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
อธิบายประโยชน์ของการดื่มน้าให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ควรดื่ม น้าสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
แนะนาให้ออกกาลังกายตามความเหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้ลาไส้ได้เคลื่อนไหว ช่วยในการขับถ่ายอุจจาระ
ฝึกการขับถ่ายอุจจาระเป็นตรงเวลาทุกวัน
ให้ความรู้เรื่องสมุนไพรไทยช่วยในการขับถ่ายอุจจาระทดแทนการใช้ยาระบาย โดยนามาปรุงเป็นอาหาร เช่น มะขาม มะระไทย เป็นต้น
ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินอาหารและลาไส้
7.ทาจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ลดความเครียดหรือวิตกกังวล ช่วยทาให้นอนหลับสบาย ตื่นเช้าจะได้สดชื่นและเข้าห้องน้าถ่ายอุจจาระเป็นเวลาในตอนเช้าตรู่
แนะนาให้ความรู้และเน้นความสาคัญของการบริโภคอาหารที่มีกากใย ได้แก่ ผัก ต่าง ๆ ผลไม้ประเภท มะละกอ กล้วยน้าว้า เป็นต้น
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใย และดื่มน้าอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับถ่ายอุจจาระตรงเวลาทุกวัน
มีการถ่ายอุจจาระได้โดยไม่ใช้ยาระบาย