Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระ - Coggle Diagram
การส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระ
ความสำคัญของการขับถ่ายอุจจาระ
การขับถ่ายอุจจาระจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายหากร่างกายไม่ขับถ่ายอาจทำให้เกิดสารพิษและของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้
ถ้าร่างกายมีการสะสมของเสียตกค้างเป็นเวลานานนั้นย่อมมีโอกาสในการได้รับสารพิษกลับเข้าไปในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้มากขึ้น
การขับถ่ายอุจจาระจึงถือได้ว่าเป็นทั้งการน าสารพิษและของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ออกไปและเป็นการสร้างระบบขับถ่ายที่ดีต่อร่างกายและดีต่อสุขภาพของร่างกายเรานั่นเอง
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขับถ่ายอุจจาระ
ความสม่ำเสมอในการขับถ่าย (Defecation habits)
ความเหมาะสม(Opportunity)
อารมณ์ (Emotion)
ยา(Medication)
การเคลื่อนไหวของร่างกาย (Body movement)
การตั้งครรภ์(Pregnancy)
ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ (Fluid intake)
อาการปวด (Pain) โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid)
ชนิดของอาหารที่รับประทาน (Food intake)
การผ่าตัดและการดมยาสลบ (Surgery andAnesthesia)
อายุ (Age)
การตรวจวินิจฉัยโรคของระบบทางเดินอาหาร
ลักษณะของอุจจาระปกติและ
สาเหตุของอุจจาระที่ผิดปกติ
Type 5 Soft blobs with clear-cut edges
(ลักษณะเป็นก้อนนุ่มๆ แยกออกจากันชัดเจน)
Type 6 Fluffy pieces with ragged edges, a mushy stool
(ลักษณะเป็นก้อนนุ่มปุยมีขอบขยักไม่เรียบ)
Type 4 Like a sausage or snake, smooth and soft
(ลักษณะยาวหรือขดม้วน เรียบ และนุ่ม)
Type 7 Watery, no solid pieces(entirely liquid)
(ลักษณะเป็นน้ าไม่มีเนื้ออุจจาระปน)
Type 3 Like a sausage but with cracks on surface
(ลักษณะยาวหรือขดม้วน แต่พื้นผิวบนนุ่มๆ)
Type 2 Sausage shaped but lumpy(ลักษณะยาวแต่เป็นก้อน)
Type 1 Separate hard lumps, like nuts(Difficult to pass)
ลักษณะแข็งคล้ายเมล็ดถั่วคนไทยเรียกว่า “ขี้แพะ”
สาเหตุของอุจจาระที่ผิดปกติ
สี
ขาว หรือคล้ายดินเหนียว คือ ไม่มีน้ำดี
แดง คือ มีเลือดออกในทางเดินอาหารมีริดสีดวงทวารหรือบริโภคผัก
ดำ (Melena) คือ มีธาตุเหล็กปนอยู่หรือมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
ซีด และเป็นมันเยิ้ม คือ พร่องหน้าที่การดูดซึมของไขมัน
กลิ่น
กลิ่นเปลี่ยนเหม็นมาก คือ การติดเชื้อจากเลือดในอุจจาระ
ลักษณะ
แข็ง คือ ท้องผูก
เหลว คือ ท้องเสียหรือการดูดซึมลดลง
ความถี่
มากกว่าวันละ6ครั้งหรือ 1-2วัน คือ ครั้งเดียวมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
รูปร่าง
ขนาดเล็กคล้ายดินสอมีการอุดตันในทางเดินอาหารหรือมีการบีบตัวของลำไส้เพิ่มขึ้น
อื่นๆ
เลือด, หนอง, มูก,แปลกปลอม คือ พยาธิมีเลือดออกในทางเดินอาหาร,รับประทานอาหารบูด, มีการระคายเคือง, มีการอักเสบ,และมีพยาธิ
อุจจาระเป็นน้ำมันเยิ้ม คือ กลุ่มอาการพร่องการดูดซึม, ลำไส้อักเสบ, โรคของตับอ่อน, มีการผ่าตัดเกี่ยวกับลำไส้
เป็นมูก คือ มีการระคายเคืองของลำไส้, มีการอักเสบ, มีการติดเชื้อหรือได้รับอันตราย
สาเหตุและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายอุจจาระ
ภาวะท้องผูก(Constipation)
สาเหตุ
ภาวะท้องผูกแบบปฐมภูมิโดยภาวะท้องผูกปฐมภูมินี้มีความสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยภาวะขาดน ้าการเคลื่อนไหวลดลงแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง
ภาวะท้องผูกแบบทุติยภูมิอาจเกิดจากความเจ็บป่วยหรือการรักษาด้วยยา เช่น ฝิ่นหรือยาระงับปวด
การอุดกั้นของระบบทางเดินอาหาร ความผิดปกติในการทำหน้าที่ของไขสันหลัง ภาวะผิดปกติของลำไส้
ผลที่เกิดจากภาวะท้องผูก
เกิดอาการปากแตก ลิ้นแตก ลมหายใจเหม็น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
เป็นโรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid)
เกิดอาการแน่นท้องท้องอืด ปวดท้อง ไม่สุขสบายเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะวิงเวียน
การกลั้นอุจจาระไม่ได้ (Incontinence)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องผูก
แนะนำกระตุ้น และช่วยให้ผู้ป่วยได้รับน้ำให้เพียงพอ
จัดสรรเวลาในตอนเช้าเพื่อฝึกให้เคยชินกับการถ่ายอุจจาระตรงเวลาทุกวัน
แนะนำและกระตุ้นให้ผู้ปุวยรับประทานอาหารให้มากเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีเส้นใยและกากมาก ๆ
สังเกตความถี่การใช้ยาระบายหรือยาถ่ายพยายามลดการใช้จนสามารถเลิกใช้ยาระบาย
แนะนำให้ความรู้และเน้นความสำคัญของการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล
การอัดแน่นของอุจจาระ (Fecal impaction)
สาเหตุ
อาการเริ่มแรกคือ ไม่ได้ถ่ายอุจจาระติดต่อกันนานแล้ว พบอุจจาระเป็นน้ำเหลวไหวซึมทางทวารหนักทีละเล็กละน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ ต่างจากท้องเดิน ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดท้องมาก ปวดอุจจาระ อยากถ่ายตลอดเวลาแต่ถ่ายไม่ออก
เมื่อตรวจทางทวารหนักโดยสวมถุงมือ และสอดนิ้วที่หล่อลื่นด้วยเจล หล่อลื่นผ่านเข้าไป (Rectal exam) จะพบก้อนแข็งๆ ของอุจจาระ หรือไม่พบหากก้อนนั้นอยู่สูงเกินไป
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีการอัดแน่นของอุจจาระ
การล้วงอุจจาระ (Evacuation)คือการล้วงอุจจาระออกโดยตรง เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยในกรณีที่ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระออกเองไม่ได้ อุจจาระจับเป็นก้อนและไม่ถูกขับออกมาตามปกติ ประมาณ 4-5 วัน หรือมีอาการท้องอืดตึง
ภาวะท้องอืด (Flatulence หรือAbdominal distention)
สาเหตุ
มีแก๊สในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ปริมาณมาก
มีการสะสมของอุจจาระมาก เนื่องจากไม่ได้ขับถ่ายออกตามปกติ
มีการสะสมของอาหารหรือน้ำมาก อาหารไม่ย่อย รับประทานอาหารมากเกินไปหรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
ปริมาตรของช่องท้องลดลงจากความผิดปกติของอวัยวะที่อยู่ใกล้เคียง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องอืด
การใส่สายทางทวารหนัก(Rectal tube)เพื่อระบายลม
พิจาณาการใช้ยา อาจให้ยาช่วยย่อยอาหาร ยาขับลม ทำให้เรอ ผายลม หลังให้ยา และทำให้สุขสบายขึ้น
กระตุ้นและช่วยเหลือเคลื่อนไหวของร่างกายเช่น การพลิกตะแคงตัวบนเตียง จัดท่านอนศีรษะสูง การลุกออกจากเตียง
แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย หรืองดน้ำและอาหารทางปากชั่วคราวหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือผายลมได้ทำให้อาการท้องอืดลดลง ผู้ปวยรู้สึกสุขสบายขึ้น
อธิบายสาเหตุและวิธีการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการท้องอืด แสดงความเห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจ
การกลั้นอุจจาระไม่ได้ (Fecal incontinence)
สาเหตุ
มักเกิดจากการรบกวนที่หูรูดทวารหนักเช่นมีการกดทับจากก้อนอุจจาระเป็นเวลานานหรือความผิดปกติของปลายประสาทรับความรู้สึกบริเวณทวารหนัก
ผลของการกลั้นอุจจาระไม่ได้
ผลด้านจิตใจเกิดการสูญเสียความรู้สึกมีคุณค่าและความนับถือต่อตนเองและอาจส่งผลรุนแรงมากขึ้นจากปฏิกิริยาของบุคคลที่อยู่รอบข้าง
ผลด้านสังคมเรื่องส่วนตัวที่ต้องควรระมัดระวัง เมื่อการกลั้นอุจจาระไม่ได้ เป็นเรื่องน่าอับอายส่งผลให้ไม่ต้องการออกสังคม หรือพบปะผู้คนโดยไม่มีเหตุจำเป็น
ผลด้านร่างกายเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและอาจเกิดแผลจากการระคายเคืองเสียดสีของผิวหนังบริเวณรอบรูทวารซึ่งผิวหนังมีลักษณะอ่อน และเกิดความสกปรกเปรอะเปื้อนของเสื้อผ้าและเครื่องใช้
ผลด้านจิตวิญญาณสืบเนื่องด้วยผลกระทบด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ส่งผลให้ด้านจิตวิญญาณคือ ความรู้สึกเสียคุณค่าในตนเองลดลง และขาดการแสดงออกถึงความต้องการการมีส่วนร่วมในกิจกรรม
การพยาบาลผู้ป่วยที่กลั้นอุจจาระไม่ได้
ให้การดูแลผิวหนังให้สะอาด และแห้งตลอดเวลาโดยเฉพาะหลังการขับถ่ายอุจจาระทุกครั้งเพื่อปูองกันการระคายเคืองและเกิดแผล
รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการเกิดโรคหวัด ซึ่งจะทำให้มีอาการไอ จาม อาจทำให้มีอุจจาระเล็ดออกมาขณะไอและจามได้
ควรให้กำลังใจ และสร้างเสริมกำลังใจกับผู้ป่วยให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
การควบคุมการขับถ่ายอุจจาระโดยใช้วิธีการฝึกถ่ายอุจจาระเป็นเวลาเลือกเป็นเวลาที่สะดวก
ภาวะท้องเสีย(Diarrhea)
สาเหตุของภาวะท้องเสีย
การได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและมีอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
จากการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์ จนทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่แสดงออกทางร่างกาย เรียกว่า “Psychosomatic disorder”
จากอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม เป็นต้น
ผลที่เกิดจากภาวะท้องเสีย
เกิดภาวะเสียสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีอาการของภาวะการขาดน้ำ
เกิดความไม่สุขสบาย ปวดท้อง เนื่องจากการบีบตัวของลำไส้และการถ่ายอุจจาระหลาย ๆ ครั้ง
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะท้องเสีย
ให้โอกาสผู้ป่วยได้อยู่ตามลำพัง แต่ไม่ควรทิ้งผู้ป่วยหมั่นดูอาการเป็นระยะๆและเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกจากผู้ป่วย
ให้โอกาสผู้ป่วยได้อยู่ตามลำพัง แต่ไม่ควรทิ้งผู้ปุวยหมั่นดูอาการเป็นระยะๆและเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกจากผู้ป่วย
ช่วยเหลือผู้ป่วยให้ถ่ายได้ทันไม่หกเรี่ยราดเลอะเทอะ และอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ป่วย
ติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกัน และช่วยแก้ไขอาการขาดน้ำและเกลือแร่
การถ่ายอุจจาระทางหน้าท้อง (Fecal diversion)
การผ่าตัดเอาลำไส้มาเปิดออกทางหน้าท้องเพื่อให้เป็นทางออกของอุจจาระมักทำในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพที่ลำไส้
การผ่าตัดเปิดลำไส้ใหญ่ทางหน้าท้อง เรียกว่า “Colostomy”การผ่าตัดเปิดลำไส้เล็กทางหน้าท้องเรียกว่า “Ileostomy”
เพื่อให้อุจจาระออกแทนทวารหนักเดิม บริเวณรูเปิดลำไส้ส่วนที่โผล่พ้นผิวหนังเรียกว่า “Stoma”หรือทวารเทียม
การพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลเฉพาะทางในการดูแลผู้ป่วยที่มีออสโตมีและควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ เรียกว่า Enterostomal Therapyเรียกย่อๆ ว่า ET nurse
การพยาบาลผู้ป่วยที่ถ่ายอุจจาระทางหน้าท้อง
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารควรทราบถึงการเลือกชนิดของอาหารที่มีผลต่อการขับถ่ายอุจจาระ
การฝึกหัดการขับถ่ายโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง ต้องหัดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและเบ่งถ่ายอุจจาระทุกวัน
ปิดถุงรองรับอุจจาระเมื่อทำความสะอาดStomaและผิวหนังรอบๆแล้ว ต้องปิดด้วยถุงรองรับอุจจาระเพื่อป้องกันผิวหนังรอบๆสัมผัสกับอุจจาระที่ผ่านออกจากลำไส้ ทำให้ระคายเคือง และเป็นแผลได้ง่าย
ภาวะแทรกซ้อนสังเกตและดูแลตนเองจากภาวะแทรกซ้อน
ทำความสะอาดช่องเปิดของลำไส้ และผิวหนังรอบๆ
การทำความสะอาดแผลทวารเทียม
การมีเลือดออกเล็กน้อยไม่ต้องตกใจ เพราะอาจเกิดจากการทำความสะอาดที่บ่อยหรือแรงเกินไปและการผ่าตัดไม่มีผลทำให้ความต้องการทางเพศลดลงขึ้นกับการแสดงออกและความเข้าใจต่อกัน
อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์
ลำไส้ที่ทำทวารเทียมตีบแคบ บวม หรือ มีสีดำคล้ำ
ไส้เลื่อน หรือ ลำไส้ยื่นออกมามากผิดปกติ เลือดออกมาก
ผิวหนังรอบทวารเทียมอักเสบหรือเกิดแผลเปื่อยจากอุจจาระสัมผัสบริเวณผิวหนัง
ท้องเสียรุนแรง อุจจาระเหม็นผิดปกติ
เมื่อต้องเปลี่ยนถุงรองรับ ด้วยการดึงถุงที่มีกาวติดกับผิวหนังออก แล้วใช้ลำสีสะอาดชุบน้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดStomaก่อน แล้วเช็ดผิวหนังรอบๆ ให้สะอาด เช็ดด้วยสำลีแห้ง แล้วปิดถุงใหม่ลงไปสังเกตรอยแดงหรือผื่นและระวังมีแผลถลอกจากการดึงพลาสติกกาวที่ติดแน่นกับผิวหนัง
การสวนอุจจาระ
ชนิดของการสวนอุจจาระ
Cleansing enemaเป็นการสวนน้ าหรือน้ำยาเข้าไปในลำไส้ใหญ่เพื่อกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ โดยการทำให้เกิดการระคายเคืองของ Colonหรือ Rectum รวมทั้งทำให้ลำไส้โป่งตึงด้วยน้ำหรือน้ำยาและขับอุจจาระออกมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการท้องผูก อุจจาระอัดแน่นช่วยล้างลำไส้ใหญ่ให้สะอาด ก่อนท าการเตรียมส่งตรวจ การผ่าตัด
Retention enemaการสวนเก็บเป็นการสวนน้ำยาเข้าไปเก็บไว้ในลำไส้ใหญ่ในผู้ใหญ่ไม่เกิน 200 ml
วิธีปฏิบัติ
เปิด Clampเพื่อไล่อากาศในสายสวน และหัวสวนปิด Clamp หัวสวนหล่อลื่นหัวสวนด้วย KY jellyไล่อากาศเพื่อทดสอบว่าหัวสวนไม่อุดตัน และไม่เป็นการนำลมเข้าลำไส้
สอดหัวสวนเข้าทวารหนักให้ปลายหัวสวนมุ่งไปทิศทางสะดือลึกประมาณ3นิ้ว แล้วเบนปลายกลับให้ขนานกับแนวกระดูกสันหลังตามลักษณะโค้งของลำไส้
ปิด Clampหัวสวนไว้เทน้ำยาใส่หม้อสวนแขวนหม้อสวนสูงกว่าระดับทวารหนักของผู้ป่วย 1ฟุต
จับหัวสวนให้แน่กระชับมือเปิด Clamp ให้น้ำไหลช้าๆ ใช้เวลาประมาณ5-10 นาทีระหว่างทำการสวนให้ผู้ป่วยอ้าปากหายใจยาวๆสังเกตระดับน้ำในหม้อสวนปล่อยน้ำไปเรื่อยๆ ถ้าผู้ป่วยทนไม่ได้ขณะน้ำยังไม่หมด ให้ปิดน้ำไว้สักครู่
จัดท่านอนให้ถูกต้องคือนอนตะแคงซ้าย งอเข่าขวาไปข้างหน้า เลื่อนผู้ป่วยมาชิดขอบเตียงการนอนตะแคงซ้ายจะทำการงอเข่าขวาจะทำให้ช่องทวารหนักเปิด สะดวกในการใส่สายสวนให้ลำไส้ส่วน Descending อยู่ด้านล่าง ทำให้น้ำไหลเข้าสะดวกขึ้นและเก็บน้ำได้ดี
ค่อยๆ ดึงสายสวนออกเบาๆปลดหัวสวนออกห่อด้วยกระดาษชำระวางใน ชามรูปไตบอกให้ผู้ป่วยนอนท่าเดิมพยายามเก็บน้ำไว้ในลำไส้ 5-10 นาที
นำเครื่องใช้มาที่เตียง บอกผู้ป่วยให้ทราบถึงเหตุผลการสวน และวิธีการปฏิบัติตัวปิดม่านเพื่อไม่เปิดเผยผู้ปำวยเกินความจำเป็น
ข้อคำนึงในการสวนอุจจาระ
ข้อควรระวังในการสวนอุจจาระ
อุณหภูมิของสารน้ำอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ105 ̊F (40.5 ̊C)
ปริมาณสารละลายใช้สวนอุจจาระขึ้นอยู่กับอายุและขนาดร่างกาย
ท่านอนของผู้ป่วยท่านอนตะแคงซ้ายกึ่งคว่ำ (Sim’s position)
แรงดันของสารน้ำ การปล่อยน้ำเปิดClamp ให้น้ำไหลช้าๆ ความลึกของสายสวนที่สอดเข้าไปในลำไส้
การหล่อลื่นหัวสวนด้วยสารหล่อลื่น ทิศทางการสอดหัวสวน
การแก้ไขเมื่อสารละลายในหม้อสวนไม่ไหลเป็นปกติ ระยะเวลาที่สารน้ำกักเก็บอยู่ในลำไส้ใหญ่
อาการแทรกซ้อนจากการสวนอุจจาระ
ภาวะเป็นพิษจากน้ำ (Waterintoxication)
การคั่งของโซเดียม เพราะปกติลำไส้จะดูดซึมโซเดียมได้ดีมาก
การระคายเคืองต่อเยื่อบุลำไส้ ผนังลำไส้ถลอก หรือทะลุ
ภาวะ Methemoglobinemia
ข้อห้ามในการสวนอุจจาระ
มีการอักเสบของลำไส้
มีการติดเชื้อในช่องท้อง
ลำไส้อุดตัน (Bowel obstruction)
ผู้ป่วยภายหลังผ่าตัดลำไส้ส่วนปลาย
การเก็บอุจจาระส่งตรวจ
อุปกรณ์เครื่องใช้
ไม้แบน สำหรับเขี่ยอุจจาระ
กระดาษชำระ
ใบส่งตรวจ
หม้อนอน
ภาชนะมีฝาปิดมิดชิด
วิธีปฏิบัติ
การเก็บอุจจาระส่งตรวจหาความผิดปกติและส่งตรวจหาเลือดแฝง
ให้ผู้ปุวยถ่ายอุจจาระลงในหม้อนอนที่สะอาดและแห้งใช้ไม้แบนเขี่ยอุจจาระจำนวนเล็กน้อยใส่ภาชนะ รีบปิดภาชนะทันที และใส่ถุงพลาสติกหุ้มอีกชั้น
ส่งห้องปฏิบัติการทันทีภายใน 30 นาที พร้อมใบส่งตรวจ
อธิบายให้ผู้ป่วยทราบ และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บอุจจาระส่งตรวจ รวมทั้งวิธีการเก็บตัวอย่าง ให้ระวังการปนเปื้อนปัสสาวะ น้ำ และสิ่งปนเปื้อนอื่น
ลงบันทึกทางการพยาบาลลักษณะ สี กลิ่น สิ่งเจือปน
การเก็บอุจจาระส่งตรวจเพาะเชื้อ
ภาชนะที่ใช้เก็บตัวอย่างอุจจาระต้องปลอดเชื้อและมีอาหารเลี้ยงเชื้อ เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4-10 ̊Cระวังการปนเปื้อน อาจทำให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อน)
ส่งห้องปฏิบัติการทันทีภายใน 30 นาที พร้อมใบส่งตรวจ
ให้ผู้ปุวยเบ่งถ่ายเล็กน้อย ใช้ไม้พันส าลีใส่เข้าไปในรูทวาร 1-2 นิ้ว แล้วจุ่มไม้พันสำลีลงในอาหารเลี้ยงเชื้อ ปิดฝาทันที
ลงบันทึกทางการพยาบาล ลักษณะ สี กลิ่น สิ่งเจือปน
ชนิดการเก็บอุจจาระส่งตรวจ
การตรวจอุจจาระหาเลือดแฝง (Occult blood)ตรวจในรายที่สงสัยว่ามีเลือดแฝงในอุจจาระ
การตรวจอุจจาระโดยการเพาะเชื้อ(Stool culture)เพื่อนำไปเพาะเชื้อเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียและดูความไวต่อยาของเชื้อที่เพาะได้
การตรวจอุจจาระหาความผิดปกติ(Fecal examination หรือStool examination)