Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สถานการณ์ที่1 การพยาบาลในระยะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
สถานการณ์ที่1
การพยาบาลในระยะตั้งครรภ์
อายุครรภ์และระดับยอดมดลูก
12week12 week อยู่ที่ระดับ 1/3 เหนือกระดูกหัวหน่าว
16 week อยู่ที่ระดับ 2/3 เหนือกระดูกหัวหน่าว
20 week อยูระดับสะดือ
24 week อยู่ที่ระดับ 1/4 เหนือสะดือ
32 week อยู่ระดับ 3/4 เหนือสะดือ
38-40 week อยู่ระดับ 3+/4 เหนือสะดือ แต่ใน week 40 ลดลงอยู่ระดับ 2/4 เหนือสะดือ
ท้องจะขยายออกด้านข้าง และศีรษะทารกเข้าช่องเชิงกราน
คํานวณจาก LMP 1 ตุลาคม 2562
21 week 5 day
ปัญหาที่พบ
1.อายุครรภ์21 สัปดาห์มาฝากครรภ์0520 WU OF positive Hct 32.6% VDRL reactive
2.อายุครรภ์28 สัปดาห์ตรวจความเข้มข้นเลือด 29% เกิดภาวะซีดและมีระดับยอดมดลูกกับหน้าท้องน้อยกว่าอายุครรภ์
3.อายุครรภ์34 สัปดาห์มีขนาดมดลูกน้อยกว่า อายุครรภ์มีระดับของยอดมดลูกกับหน้าท้องน้อยกวา่ อายุครรภ์
การนัดครั้งต่อไปจะอยู่ในช่วง 24สัปดาห์ทารกอยู่ในท่า longitudinal line ส่วนนำคือกันลำตัวโค้งทารกมีการเจริญเติบโตช้าลงพื้นที่ในท้องไม่พอเริ่มทำให้ตัวงออีกครั้งผิวหนังแดง ยังไม่เข้าสู้อุ้งเชิงกรานเนื่องจากยังไม่เกิดกลไกEngagement แม่จะรู้สึกท้องลดจะเกิดก่อนคลอดประมาณ2สัปดาห์
คลำพบ Ballottement ได้ large part อยู่ด้านซ้ายมือของหญิงตั้งครรภ์คลำพบก้อนนิ่มๆบริเวณหัวเหน่าคลำที่4พบปลายนิ้วของผู้ตรวจสอบเช่นกัน
ได้ยินเสียงหัวใจทารก โดยการฟังเสียงผ่านผนังหน้าท้องมารดาตั้งครรภ์ fetoscope จะได้ยินเสียงประมาณสัปดาห์ที่17-20ของการตั้งครรภ์หากใช้Doppler สามารถได้ยินเสียงตั้งแต่สัปดาห์ที่12-14 ของการตั้งครรภ์เสียงหัวใจทารกที่ผิดปกติจะเป็นเสียง funic souffle หรือ umbilical cord soufle เป็นเสียงเลือดที่สายสะดือทารกในครรภ์ซึ่งเป็นเสียงแผ่วเบาดังฟู่ถูกกดหรือสายสะดือบิด
ฟังบริเวณหน้าท้องได้ยินเสียงฟู่เท่ากับเสียง FHS146 ฟังบริเวณหน้าท้อง ปกติ110-160
แยกโรค
อาการเหนื่อย ตัวเย็น หน้ามืด ตาลาย อาจเกิดจากความดันต่ำจากการเปลียนอริยิาบถ น้ำตาลต่ำ การเคลื่อนไหวที่เร็วเกินไป
Physiologic anemia ธาลัสซีเมีย
การบวมเกิดจากการคั่งของน้ำ เนื่องจากส่วนปลายไหลกลับไม่ดี
ปัสสาวะบ่อยเนื่องจากมดลูกขยายใหญ่
อาการเหนื่อย อาจเกิดจากการพักผ่อนน้อย การคลื่นไส้อาเจียน ลุกไปปัสสาวะบ่อย
ซักประวัติตรวจครรภ์ตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องปฎิบัติเพิ่มเติม
ตรวจร่างกาย
lab
เก็บปัสสาวะตรวจ UA ทุกรายในครั้งแรกที่มาฝากครรภ์และเก็บปัสสาวะทุกรายเพื่อดู abuminและน้ำตาลทุกรายและทุกครั้งที่มาฝากครรถ์
ส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก ประเมินสัญญาณชีพประเมิน BMI ดูลักษณะทั่วไปของหญิงตั้งครรภ์
ในทางห้องปฎิบัติการ การตรวจร่างกายทั่วไปต้องเป็นระบบตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้าเพื่อดูภาวะซีดหรือไม่ ต่อมไทรอยด์ เต้านมและหัวนมมีปัญหาหรือไม่ เช่น หัวนมบอด แบนหรือบุ๋มถ้าพบปัญหาควรแนะนำวิธีการแก้ไขหัวนมก่อนคลอด
-การเข้ารับการฝากครรภ์
-ความสูงของยอดมดลูกที่วัดได้จริงหรือไม่ใกล้เคียงกับจำนวนสัปดาห์ของอายุครรภ์น้อยกว่าซึ่งอาจเกิดจากการคาดคะเนการคลอดถูกต้องหรือไม่ ปริมาณน้ำคร่ำปกติหรือไม่
1) ประวัติส่วนตัวและครอบครัวความเชื่อการใช้ยาและสิ่งเสพติด
-ระดับการศึกษา
-ฐานะทางเศรษฐกิจและรายได้
2) ประวัติความเจ็บป่วยในอดิต ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ประวัติโรคธาลัสซีเมีย-โรคอื่นๆ
3)ประวัติประจําเดือนที่เคยผิดปกติ
4) ประวัติการคุมกําเนิด
5) ความผิดปกติในครรภ์ปัจจุบัน
จากข้อมูลข้างต้นนักศึกษาคิดว่าสตรีตั้งครรภ์รายนี้มีภาวะปกติหรือไม่ อย่างไร
ผิดปกติ VDRL reactive บ่งบอกถึงการติดเชื้อซิฟิลิส อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์ ค่า OF positive อาจจะเป็นโรคธาลัสซีเมีย G2P0A1 บ่งบอกว่าหญิงตั้งครรภ์รายน้ีเคยแท้งบุตรมาก่อนมีโอกาสเกิดซ้า ได้
จากอาการทั้งหมดข้างต้นมีสาเหตุจากอะไร
มีสาเหตุมาจากโรคธาลัสซีเมียเป็นความผิดปกของพันธุกรรมหรือยีนในส่วนของการสร้างเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่ายทำให้ ค่า OF positiveและมีการบวมและซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์การเปลี่ยนคู่นอนหลายคนหรือการไม่ป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงประวัติการแท้งและ HCT ต่ำ
นักศึกษาคิดว่าอาชีพ อายุ จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ ส่งผลต่อการเกิดอาการดังกล่าวข้างต้น
หรือไม่ อย่างไร
อาชีพรับราชการจะส่งผลให้สตรีที่ครรภ์ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตนเองและพักผ่อนน้อยเนื่องจากภาระงานค่อนข้างเยอะ และสตรีรายนี้เคยมีประวัติการแท้งมาก่อนแล้ว
นักศึกษาจะวินิจฉัยแยกโรคของ 1) อาการบวม 2) อาการปัสสาวะบ่อย 3) อาการเหนื่อยง่าย
4) ภาวะซีด และ 5) อาการเหงื่อออก ตัวเย็น หน้ามืด ตาลาย จากภาวะอื่นๆ ได้อย่างไร
วินิจฉัยอาการ
1.อาการบวม :ปกติอาจมีการบวมที่เท้าได้จากการไหลเวียนของเลือดที่ขาช้ากว่าปกติ ถ้าบวมสูงกว่าเท้า เช่น บวมที่นิ้วมือ สังเกตจากความรู้สึกว่าใส่แหวนคับกว่าปกติ อาจเป็นการบวมที่ผิดปกติเนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
2.อาการปัสสาวะบ่อย : ต้องตรวจดูโปรตีนและน้ำตาลในปัสสาวะ (urine protein-urine glucose) ทุกครั้งที่มารับการฝากครรภ์ ในรายที่มีความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะและในรายที่เป็นเบาหวานขณะ ตั้งครรภ์อาจตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะได้นอกจากนี้ในระยะตั้งครรภ์โอกาสเกิดภาวะติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะได้มาก ซึ่งอาจทำให้คลอดก่อนกำหนดหรือเกิดการอักเสบที่กรวยไต (Pyelonephritis) จึงต้องตรวจปัสสาวะทุกราย โดยการตรวจ mid-stream urine ตรวจพบเม็ดเลือดขาวตั้งแต่5 ตัวขึ้นไปต่อ1 high powered field ก็บ่งชี้ว่าน่าจะมีการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะ
3.อาการเหงื่อออก ตัวเย็น หน้ามืด ตาลาย :ระบบการหายใจและหัวใจ โรคปอด การซักถามประวัติการหอบเหนื่อย การเป็นหืด อาการบวมอาจทำให้ทราบถึงความเป็นไปได้ในการเกิดโรคทางระบบการหายใจและหัวใจ นอกจากนี้หากคลำพบชีพจรเต้นผิด จังหวะ คือมีจังหวะเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ จะช่วยให้ทราบว่าอาจมีความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ
จากอาการข้างต้นนักศึกษาจะให้การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการไม่สุขสบายในระยะตั้งครรภ์
รายนี้อย่างไร
อาการบวม การให้คำแนะนำและการพยาบาล
หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อที่รัดแน่นเกินไป หรือสวมถุงน่องที่ยาวระดับหัวเข่าซึ่งจะกีดขวางการไหลเวียนกลับของเลือดที่บริเวณส่วนปลายควรปรึกษาแพทย์ ถ้าพบอาการบวมที่เท้า ร่วมกับพบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 mmHg หรือมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นอาจเป็นอาการของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์(Pregnancy Induced Hypertension, PIH) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
อาการปัสสาวะบ่อยการให้คำแนะนำและการพยาบาล
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงสาเหตุของการปัสสาวะบ่อยเนื่องจากเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นได้กับสตรีตั้งครรภ์ทุกคน
ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบปัสสาวะ,หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้า อัดลม
ควรดื่มน้ำ ให้น้อยลงในช่วงกลางคืนก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรงดดื่มน้ำ ควรดื่มน้ำ 8แก้วเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
อาการเหนื่อยง่ายการให้คำแนะนำและการพยาบาล
เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า ให้พักผ่อนหรือนอนหลับในช่วงเวลาสั้นๆตอนกลางวัน
หลีกเลี่ยงความเครียดโดยใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจ (breathingrelaxation) นั่งสมาธิ(Meditation) หรือฟังเพลง (sound)
สตรีตั้งครรภ์ที่ทำงานอยู่กับที่และไม่ค่อยได้ทำกิจกรรม ควรออกกำลังกายโดยการเดิน เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณส่วนปลายของร่างกาย
ภาวะซีด การให้คำแนะนำการพยาบาล
ไม่รับประทานยาชุด แก้ปวดเมื่อย แก้อักเสบ ยาหม้อ ยาลูกกลอนเอง เนื่องจากมักมียาที่ระคายกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการปวดเสียดท้อง ท้องอืด เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือกระเพาะอาหารทะลุได้
รับประทานอาหารครบทั้ง5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนและอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
ตรวจดูภาวะซีด เพราะภาวะซีดทำให้เม็ดเลือดแดงนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พออาจต้องได้ธาตุเหล็กเพิ่ม
อาการเหงื่อออก ตัวเย็น หน้ามืด ตาลายการให้คำแนะนำและการพยาบาล
จัดท่าให้นอนราบทันที คลายผ้าหลวมๆ
หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด อากาศร้อน และมีการระบายอากาศไม่ดี
ให้ดื่มน้ำ วันละ 8-10แก้ว เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ
ตรวจดูระดับน้าตาลในเลือดหากระดับน้ำตาล ในเลือดต่ำให้ดื่มน้ำหวานถ้าหมดสติให้Glucose ทางเส้นเลือด
ตรวจดูภาวะซีด เพราะภาวะซีดทำให้เม็ดเลือดแดงนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พออาจต้องได้ธาตุเหล็กเพิ่ม
ภาวะไม่สุขสบายในไตรมาสแรก
1) ปัสสาวะบ่อย (Frequent urination)ในไตรมาสแรกสตรีตั้งครรภ์มีภาวะปัสสาวะบ่อยเนื่องจากมดลูกที่อยู่ในอุ้งเชิงกรานมีขนาดโตขึ้นแล้วกดเบียดกระเพาะปัสสาวะร่วมกับมีปริมาณการไหลเวียนของเลือดไหลผ่านไตเพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราการกรองของไตเพิ่มมากขึ้น (Glomerular filtration rate)
2) ความเหนื่อยล้า (Fatigue)สาเหตุของความเหนื่อยล้าเกิดจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกายที่สูงขึ้นในขณะตั้งครรภ์ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน
3) เต้านมคัดตึง (Breast tenderness)อาการคัดตึงเต้านมจะมีเพียงเล็กน้อยและเป็นชั่วคราวสักอาการจะดีขึ้นแต่อาการจะมีมากขึ้นเมื่อสัมผัสอาการเย็น
4) ภาวะหลั่งน้ำลายมาก (Ptyalism)ขณะตัวน้ำลายมีความเป็นกรดมากขึ้นและอาจไหลออกมามากกว่าปกติได้ภาวะหลั่งน้ำลายมากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดแต่อาจมีความเชื่อว่าเกิดขึ้นเนื่องจากสตรีตั้งครรภ์ไม่สามารถกลืนน้ำลายได้เนื่องจากอาการคลื่นไส้อาเจียน
5) อาการคลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and vomiting)เกี่ยวข้องกับการเพิ่มของฮอร์โมน Human Chorionic Gonadotropin (hCG) ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรน ปัจจัยทางอารมณ์ พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เป็นเวลา หรือการขาดวิตามิน B6ก็เป็นสาเหตุร่วมได้อาการคลื่นไส้อาเจียน
6) หน้ามืดเป็นลม (Faintness)สตรีตั้งครรภ์อาจมีอาการเมื่ออายุครรภ์2-3 สัปดาห์ สาเหตุอาจเกิดจากความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนอิริยาบถ (Postural hypotension)หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ(low blood sugar level)
การตรวจครรภ์โดยการคลำ
การคลำนิยมใช้วิธีที่เรียกว่า Leopold's handgrip ซึ่งมี 4 ขั้นตอนดังนี้
3.First Leopold Handgrip (Fundal grip) คือการคลำบริเวณยอดมดลูกเพื่อตรวจหาระดับยอดมดลูก(Fundus) และส่วนของทารกที่อยู่บริเวณยอดมดลูกระดับของยอดมดลูกในการตรวจผู้ตรวจนั่งหันหน้าไปทางศีรษะของสตรีตั้งครรภ์โดยใช้มือแตะบริเวณของมดลูกห้ามดันหรือกดยอดมดลูกลงมาอีกมือหนึ่งแตะที่บริเวณลิ้นปี่แล้วดูระดับของยอดมดลูกว่าเป็นสัดส่วนเท่าใดกับระยะระหว่างสะดือและลิ้นปี่หรือเป็นสัดส่วนเท่าใดกับระยะระหว่างสะดือถึงกระดูกหัวหน่าวการตรวจระดับยอดมดลูกทำให้ทราบถึงระยะของการตั้งครรภ์ละสามารถประเมินความสัมพันธ์กับระยะของการขาดประจำเดือนหรืออายุครรภ์ส่วนของทารกที่ยอดมดลูกให้ผู้ตรวจคลำหาส่วนของทารกที่บริเวณยอดมดลูกและตรวจหาว่าควรเป็นศีรษะหรือกันถ้าเป็นศีรษะจะมีลักษณะเรียบกลมแข็งและมี Ballottement ต่างจากก้นที่นุ่มกว่าบางแห่งเรียบบางแห่งแข็งและไม่กลมอาจมี Ballotternment ได้บ้าง แต่ไม่ชัดเจนเท่าศีรษะ
2.Second Leopold Handgrip (Umbilical grip) คือการคลหาส่วนของทารกว่าอยู่ทางด้านไหนของลาตัวแม่โดยผู้ตรวจหันหน้าไปทางศีรษะของสตรีตั้งครรภ์ตรวจให้ใช้ทั้งสองมือทาบบนผนังของสตรีตั้งครรภ์ขณะตรวจให้สังเกตความรู้สึกและจำแนกหา Large part คือหลังทารกและ Smal parts ได้แขนขาข้อศอกหัวเข่าด้านที่มีหลังทารกอยู่จาคลาได้เป็นแผ่นแนวเรียบหรือมีความรู้สึกว่ามีอะไรมาต้านมือในรายที่คลำได้ไม่ชัดเจนซึ่งต่างกับด้านที่มีแขนขาอยู่จะคลำได้ไม่เรียบคือส่วนที่มีแขนขาหัวเข่าข้อศอกจะคลำได้เป็นปุ่มและอาจพบมีการเคลื่อนไหวให้เห็นบริเวณผนังหน้าท้องหรือกรณีคล าแขนขาไม่ชัดเจนจะรู้สึกว่าว่างกว่าด้านตรงข้ามที่มีหลังทารกและกดผนังหน้าท้องได้มากกว่านอกจากนี้ควรสังเกตว่าหลังอยู่ส่วนใดของหนาท้องในรายที่เป็นTransverse position หลังของทารกจะหัน ไปอยู่ทางด้านข้างของช่องเชิงกราน
3.Third maneuver (Pawlik’s grip) การคลำเพื่อตรวจหาส่วนนำ (presenting part) และ attitude ของทารกในครรภ์วิธีตรวจ ใช้มือขวาคลำและจับส่วนของทารกที่บริเวณเหนือหัวเหน่าให้อยู่ภายในอุ้งมือตรวจหาส่วนนำ ถ้าเป็นศีรษะจะมีลักษณะกลมแข็งและเรียบ มีballottement ชัดเจน และอาจคลำได้ร่องคอตรวจหาระดับของส่วนนำ โดยถ้าโยกส่วนนำของทารกให้เคลื่อนไหวไปมาได้ แสดงว่าส่วนนำยังลอยอยู่ แต่ถ้าไม่สามารถโยกได้แดงว่าส่วนนำผ่านลงสู่ช่องเชิงกรานแล้ว (engagement)ตรวจทรงของทารก โดยคลำหา cephalic prominence ของทารก ถ้าคลำได้ตรงกันข้ามกับหลังและสูงกว่า แสดงว่าทารกอยู่ทรงก้ม ถ้าคลำได้ด้านเดียวกับหลังแสดงว่าทารกอยู่ในทรงเงย
4.Fourth maneuver (Bilateral inguinal grip) การคลำเพื่อตรวจหาระดับของส่วนนำ และทรงของทารกในครรภ์ วิธีตรวจ มือหนึ่งวางที่หัวเหน่า มือหนึ่งวางที่หน้าท้อง จับหัวเด็กกดลงช่องเชิงกราน คลำดูว่าหัวเด็ก อยู่ต่ำกว่าหรือสูงกว่า กระดูกหัวเหน่าปกติหัวเด็กจะอยู่ต่ำกว่ากระดูกหัวเหน่า ถ้าอยู่ระดับเดียวกัน อาจมีความผิดปกติเล็กน้อย ถ้าแรงผลักดันเพียงพอ หัวเด็กมีการ Molding ทำให้ผ่านลงช่องเชิงกรานได้ ถ้าคลำได้หัวอยู่สูงกว่ากระดูกหัวเหน่า แสดงว่า มีการเงยของหัวชัดเจน บ่งถึง CPD, Compound presentationจำเป็นต้องตรวจสภาพเด็กและเชิงกรานอย่างละเอียดต่อไป
คำนวณอายุครรภ์LMP วันที่1/10/2562 มาฝากครรภ์แรก วันที่ 1/3/2563 นับจำนวนวันจาก LMPจนถึงวันที่ต้องการคำนวณ จะได้อายุครรภ์ที่เป็นจำนวนวันแล้วหารด้วย 7 จะได้อายุครรภ์เป็นจำนวนสัปดาห์ คือ 151 วัน หาร7=21สัปดาห์6วัน
ในการฝากครรภ์ครั้งที่ 2 (วันที่ 21 ตุลาคม2552) นักศึกษาคิดว่าระดับยอดมดลูกสัมพันธ์กับอายุครรภ์หรือไม่อย่างไร
ไม่สัมพันธ์กันเพราะสัปดาห์ที่ 28 ระดับยอดมดลูกต้องอยู่ที่ระดับ 2/4 เหนือสะดือ
ในการฝากครรภ์ครั้งที่ 2 นักศึกษาคิดว่าทารกในครรภ์อยู่ในท่าใดส่วนนำคืออะไรส่วนนำเข้าสู่ช่องเชิงกรานหรือไม่พร้อมระบุเหตุผล
อยู่ในท่า transverse ไม่มีส่วนน้า เพราะคลำพบballottement ได้ large part อยู่ด้านซ้ายมือของหญิง
ตั้งครรภ์คลำพบก้อนนิ่มๆบริเวณหัวเหน่าคลา ท่าที่4พบปลายนิ้วของผู้ตรวจสอบชนกัน
จากการฟังบริเวณหน้าท้องได้ยินเสียงเท่ากับ
เสียง FHS นักศึกษาคิดว่าปกติหรือไม่เพราะเหตุใด
เสียงหัวใจทารกที่ปกติจะเป็นเสียงคู่อัตราเต้นประมาณ 120-160 ครั้งต่อนาทีสม่ำเสมอในบางรายอาจได้ยินเสียง fanic Souille เป็นเสียงเลือดที่สายสะดือทารกในครรภ์ซึ่งเป็นเสียงแผ่วเบาดังฟูคล้ายเสียง uterine souille แต่มีอัตราเท่ากับเสียง tetal heartsound