Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์, นางสาวพัชรินทร์ ยางธิสาร 180101068 -…
การตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
Ultrasound
คือคลื่นเสียงความถี่สูง 3.5-7 megahertz ที่ปล่อยออกมาจากหัวตรวจ (Transducer) ที่สัมผัสกับผนังหน้าท้องของแม่คลื่นเสียงจะไปตกกระทบที่เนื้อเยื่อแล้วสะท้อนกลับมาเครื่องก็จะอ่านผลเป็นความเข้มหรือจางขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเนื้อเยื่อภาพที่แสดงให้เห็นทางจอภาพจะแสดงในรูปแบบของจุด (Pixel)
ชนิดของ Ultrasound
-Standard Ultrasound เป็น ultrasound มาตรฐานที่ตรวจทางหน้าท้อง
Doppler Ultrasound เป็น ultrasound ที่ใช้สำหรับวัดการไหลเวียนของเม็ดเลือด
-Fetal Echocardiography เป็น ultrasound เพื่อไว้ตรวจหัวใจเด็กเพื่อตรวจ
-Transvaginal Scans เป็น ultrasound ที่ออกแบบสำหรับสอดเข้าช่องคลอดเพื่อตรวจโดยทั่วไปเหมาะสำหรับการตรวจตอนตั้งครรภ์ในระยะแรก
-Advanced Ultrasound เป็น ultrasound ที่ออกแบบพิเศษสำหรับปัญหาที่ซับซ้อน
-3-D ultrasound เป็น ultrasound ที่ออกแบมาเพื่อสร้างภาพสามมิติเพื่อการพัฒนาของทารก
-4-D or Dynamic 3-D Ultrasound เป็น ultrasound เพื่อดูหน้าและการเคลื่อนไหวของอวัยวะ
การอัลตราซาวน์ในไตรมาสแรก
ไม่จำเป็นต้องทำทุกรายอย่างเป็นกิจวัตร แต่ควรทำเมื่อมีข้อบ่งชี้
-จำประจำเดือนได้ไม่แน่นอน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือตั้งครรภ์ขณะใช้ยาคุมกำเนิด
-มีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องมีเลือดออก ทำให้สงสัยว่าอาจเกิดการแท้งหรือท้องนอกมดลูก
-มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์แฝด
-เพื่อคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์โดยการวัดความหนาของผนังคอ
มีความแม่นยำในการประเมินอายุครรภ์มากที่สุด
ข้อมูลที่ได้จากการตรวจในไตรมาสแรก
-จำนวนทารก
-อายุครรภ์
-ตำแหน่งการฝังตัวว่านอกหรือในมดลูก
-การมีชีวิตของทารก
-ความผิดปกติบริเวณรังไข่หรือท่อนำไข่
-ความพิการบางอย่างเช่นไม่มีกะโหลกศีรษะ
การอัลตราซาวน์ในไตรมาสที่ 2
-แนะนำให้ทำทุกรายในช่วงอายุครรภ์ 18-22wks เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของทารก
-สามารถตรวจพบความพิการ แต่กำเนิดที่สำคัญได้แตกต่างกัน
-ดูความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายทารกในครรภ์ ได้แก่ กะโหลกศีรษะเนื้อสมลงใบหน้าโครงกระดูกแขนขา มือเท้า ทรวงยก เนื้อปอด หัวใจ ผนังหน้าท้อง อวัยวะหลักภายในช่องท้อง
-มีประโยชน์เพื่อช่วยวินิจฉัยความผิดปกติของการตั้งครรภ์ แต่ไม่ใช่การตรวจที่จะยืนยันหรือรับรองความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ 100%
การอัลตราซาวน์ในไตรมาสที่ 3
ข้อบ่งชี้
-ตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ได้ แต่อาจมีข้อจำกัดจากขนาดและท่าของทารก
-ตรวจติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เสี่ยงสูง
-ประเมินน้ำหนักทารกเมื่อใกล้คลอด
-ประเมินท่าของทารก
-ตรวจติดตามตำแหน่งของรก
-ตรวจสงสัยปริมาณน้ำคร่ำ
Non stress test (NST)
การแปลผล
Reactive หมายถึงการเพิ่มขึ้นของ FHR มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาทีอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงการตรวจ 20 นาทีอาจเกิดในช่วงใดของการตรวจภายใน 40 นาทีก็ได้โดยระหว่างที่ตรวจสามารถกระตุ้นการเคลื่อนไหวด้วย artificial larynx กระตุ้นครั้งละ 1-2 วินาทีที่หน้าท้องมารดาซึ่งสามารถทำได้ 3 ครั้งถ้าอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ให้ลดเกณฑ์ลง
Nonreactive หมายถึงการเพิ่มขึ้นของ FHR ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของ FHR เลยในการตรวจนาน 40 นาที
ข้อบ่งชี้
Medical complication
type 1 diabetes mellitus
systemic lupus erythematosis hemoglobinopathies
antiphospholipid syndrome poorly controlled hyperthyroidism
cyanotic heart disease
chronic renal disease
hypertensive disorder
Obstetrics complication
Preeclampsia
Decreased fetal movement
Oligohydramnios / Polyhydramnios
Intrauterine growth restriction
Postterm pregnancy
Isoimmunization
Previous unexplained fetal demise
Multiple gestation
รูปแบบการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ (fetal heart rate pattern)
FHR baseline ทารกปกติจะอยู่ระหว่าง 110-160 bpm
FHR variability คือการแปรปรวนของการเต้นของหัวใจ
Absert variability คิดไม่มีความแปรปรวนของ FHR เมื่อมองด้วยตาเปล่าสัมพันธ์กับภาวะ asphyxia ของทารกในครรภ์สูง
-Minimu variability คือสังเกตเห็นความแปรปรวนของ FHR ได้ แต่มีขนาดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ppm สัมพันธ์กับภาวะ acidosis ของทารกในครรภ์ แต่อาจไม่มี asptrypoa ก็ได้
-Moderate (normal) variability คือช่วงขนาดของความแปรปรวนอยู่ระหว่าง 6-25 bpm มักพบในทารกปกต
Marked variability คือความแปรปรวนของ FHR มากกว่า 25 bpm สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์และยังเป็นการตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจน
FHR acceleration คือการเพิ่มขึ้นของ FHR อย่างฉับพลันมากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที แต่น้อยกว่า 2 นาที แต่ถ้านานกว่า 2 นาที แต่ไม่ถึง 10 นาทีจัดเป็น prolonged deceleration แต่ในรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์เกณฑ์การวินิจฉัยลดลงเป็นเพิ่มขึ้น 10 bpm นานกว่า 10 วินาที
FHR deceleration คือการลดลงของ FHR ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชนิด
Early deceleration คือการลดลงของ FHR อย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไปและกลับคืนสู่ baseline อย่างช้า ๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุดและการกลับคืนสู่ baseline จะตรงกับจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูก จุดสูงสุดและการคลายตัวของมดลูกกลับคืนสู่ baseline
Variable deceleration คือการลดลงของ FHR อย่างฉับพลันสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าโดย FHR จะลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm คงอยู่นานมากกว่าหรือเท่ากับ 15 วินาทีและไม่นานเกิน 2 นาที โดยอาจจะสัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูกหรือไม่ก็ได้
Late deceleration คือการลดลงของ FHR อย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไปและกลับคืนสู่ baseline อย่างช้า ๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุดและการกลับคืนสู่ baseline จะเกิดช้ากว่าจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูกจุดสูงสุดและการสลายตัวของมดลูกกลับคืนสู่ baseline
วิธีการตรวจ
อายุครรภ์ที่เหมาะสมในการตรวจคือ 30-32 สัปดาห์
เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจ
Tocotransducer สำหรับวัดการหดรัดตัวของมดลูก
Ultrasound transducer สำหรับบอกอัตราการเต้นของหัวใจทารก
Marker กดเมื่อรู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้น
Papergraph แผ่นกราฟบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจทารกการหดรัดตัวของมดลูกและเครื่องหมายแสดงการดิ้นของทารก
BPP (Biophysicol Profile)
ข้อบ่งชี้
ตั้งครรภ์แฝด
อายุครรภ์เกินกำหนดคลอด
เคยมีประวัติทารกเสียชีวิต
ทารกเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติหรือการเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ
ปริมาณน้ำคร่ำมากหรือน้อยกว่าปกติ
มีปัญหาเรื่องกลุ่มเลือด Rh
คนท้องที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด โรค SLE โรคไทรอยด์ โรคไต โรคหัวใจ
ตรวจในทารกที่อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์
สัญญาณเฉียบพลัน (Acute marker)
การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว การหายใจและ tone ของกล้ามเนื้อ จัดเป็นสัญญาณเฉียบพลัน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกควบคุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system, CNS) ที่ไวต่อภาวะขาดออกซิเจนแตกต่างกัน ดังนั้นถ้ามีความผิดปกติหรือไม่พบพฤติกรรมเหล่านี้ แสดงถึงความผิดปกติของสภาวะสมดุลกรด-ด่างภายในร่างกายขณะทีตรวจ แต่ถ้าพฤติกรรมเหล่านี้ยังปรากฏให้เห็นแสดงว่าระบบประสาทส่วนกลางยังทำงานได้ดีอยู่ การหายไปเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าทารกอยู่ในภาวะคับขันขาดออกซิเจนหรือมีภาวะ acidosis แต่อาจเป็นแค่ความแปรปรวนของพฤติกรรมเช่นอยู่ในวงจรหลับตื่น (sleep cycle) หรือได้รับสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางซึ่งจะเกิดเพียงชั่วคราวเท่านั้นมักพบได้บ่อยเวลาตรวจดูการหายใจและการเคลื่อนไหวที่อาจตรวจไม่พบในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 20-40 นาที
ภาวะขาดออกซิเจนไม่จำเป็นที่จะต้องพบร่วมกับ acidosis เสมอไปถ้ามีภาวะขาดออกซิเจนแบบฉับพลันจะตรวจพบความผิดปกติของสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่ nonreactive NST การหายใจและการเคลื่อนไหวลดลง แต่ถ้าเป็นภาวะขาดออกซิเจนแบบรุนแรงทารกจะหยุดเคลื่อนไหวและ tone ก็หายไปด้วยโดยภาวะขาดออกซิเจนที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเรียงลำดับตามพัฒนาการของพฤติกรรมจากการศึกษาของ Vintzileos ในปีคศ 1983 (20) พบว่า tone จะเริ่มมาแรกสุดคือพบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 7-8 สัปดาห์ตามด้วยการเคลื่อนไหวตอนอายุครรภ์ 10 สัปดาห์การหายใจเริ่มปรากฏอายุ 20 สัปดาห์และสุดท้ายู variability ของการเต้นของหัวใจซึ่งจะเกิดหลังสุดโดยพบในช่วงไตรมาสที่ 3 ดังนั้นสิ่งที่เกิดก่อนมักจะหายไปหลังสุดและสิ่งที่เกิดหลังสุดเมื่อมีภาวะขาดออกซิเจนก็จะแสดงให้เห็นเป็นอย่างแรก
สัญญาณเรื้อรัง (Chronic marker)
เป็นลักษณะที่เกิดมานานเรื้อรังไม่ได้เพิ่งเกิด ณ ขณะนั้นเช่นปริมาณน้ำคร่ำลดลงเกิดจากภาวะ redistribution ของเลือดที่กระจายไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายจะไหลเวียนไปยังอวัยวะที่สำคัญเพิ่มมากขึ้นทำให้การไหลเวียนของเลือดไปที่ไตน้อยลงมีผลลดการสร้างปัสสาวะของทารกในครรภ์ทำให้ปริมาณน้ำคร่ำน้อยซึ่งจะเก็ดแบบค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปอีกอย่างที่จัดเป็นสัญญาณเรื้อรังคือลักษณะของรกถ้าในรายที่รกเริ่มมีการเสื่อมสภาพจะดูได้จากการแบ่ง grade ถ้าอยู่ใน grade 3 คือมี calcification ภายในจะทำให้การไหลเวียนและแลกเปลี่ยนสารอาหารไม่ดีพบว่าร้อยละ 44 จะสัมพันธ์กับ abnormal fetal heart rate pattern และร้อยละ 14.8 สัมพันธ์กับภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption
CST (Contraction stress test)
ข้อบ่งชี้
มีการเร่งการเจ็บครรภ์โดยใช้ยาเร่งคลอด
มีการเร่งการเจ็บครรภ์โดยใช้ยาเร่งคลอด
มารดาตั้งครรภ์เกินกำหนด
การแปลผล
ผล Negative หมายถึงไม่มี deceleration ในขณะทำการทดสอบโดยมีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างน้อย 3 ครั้งใน 10 นาทีนานครั้งละอย่างน้อย 40-60 วินาทีผล
Positive หมายถึงมี Late deceleration มากกว่าครึ่งหนึ่งของการทดสอบที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
ผล Equivocal มี 3 แบบ
Suspicious หมายถึงมี Late deceleration น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการทดสอบ
Hyperstimulation หมายถึงมี Late deceleration ขณะที่มีหรียดามหลังการหดรัดตัวของมดลูกที่นานกว่า 90 วันหรือบ่อยกว่าทุก 2 นาที แต่ถ้ามีการหดรัดตัวบ่อยโดยที่ไม่มี late deceleration ให้แปลผลเป็น negative
Unsatisfied หมายถึงไม่สามารถทำให้มีการหดรัดตัวของมดลูกที่เหมาะสมได้หรือคุณภาพการบันทึกไม่ดีแปลผลไม่ได้
วิธีการตรวจ
บันทึกรูปแบบการเต้นของหัวใจระหว่างที่มีการหดรัดตัวของมดลูกซึ่งควรมี 3 ครั้งใน 10 นาทีนานครั้งละ 40-60 วินาทีถ้าไม่มีให้ชักนำด้วยวิธีดังต่อไปนี้
กระตุ้นด้วย Oxytocin โดยให้ทางหลอดเลือดดำเริ่มที่ 0.5 mU / เพิ่มได้ทีละ 2 เท่าทุก 15-20 นาทีจนกระทั่งมีการหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้งใน 10 นาทีแต่ละครั้งนาน 40-60 วินาที
การทำ nipple stimulation โดยใช้มือคลึงที่หัวนมทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่องหรือคลึงไปมาที่หัวนมข้างเดียวนาน 2 นาทีแล้วหยุด 5 นาทีถ้าการหดรัดตัวยังไม่ถึงเกณฑ์ให้กระตุ้นแบบเดิมต่อ
การตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม
สาเหตุ
มีโครโมโซมเกินมาหนึ่งแห่งคือโครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่งแทนที่จะมี 2 แท่งตามปกติ
TRISOMY 21
Non-invasive prenatal testing (NIPT)
ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ
ตรวจได้ตั้งแต่ 10-12wks
อัลตราซาวน์ร่วมกับการตรวจสารชีวเคมีในเลือด
ตรวจได้ตั้งแต่ 10-14 wks
ตรวจได้ตั้งแต่ 10-14 wks
ตรวจสารชีวเคมีในเลือด
alpha feto protein
estriol
inhibin A
PAPP-A
ตรวจได้ตั้งแต่ 16-18 wks
การเจาะตรวจน้ำคร่ำขณะอายุครรภ์ 17-20wks
โดยนำเซลล์จากตัวทารกที่หลุดลอยในน้ำคร่ำ
Doppler ultrasound
ใช้ในการตรวจหาการเต้นของหัวใจทางรกในครรภ์รวมถึงการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อประเมินสุขภาพและตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์
ข้อบ่งชี้
การเพิ่มขนาดของอวัยวะในช่องท้อง
อาการปวดดึงหรือแน่นท้อง
ผลเลือดตับผิดปกติ
ก้อนนิ่วในถุงน้ำดีหรือไต
หลอดเลือดแดงเอออร์ตาในช่องท้องโป่งพอง
นางสาวพัชรินทร์ ยางธิสาร 180101068