Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์, น.ส.ฐิติยา ทรงชัยวรวุฒ 180101047 พยบ.ปี3,…
การตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
BPP (Biophysicol Profile)
การดูแลรักษา
0-4 คะแนน ทารกอยู่ในภาวะคับขัน ควรรีบให้คลอด
6-8 คะแนน ให้พิจารณาตามปริมาณน้ำคร่ำ ถ้าน้ำคร่ำปกติ โอกาสเกิด asphyxia น้อย แต่ต้องตรวจ BPP ซ้ำใน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าน้ำคร่ำน้อย โอกาสเกิด asphyxia สูงขึ้น
8-10 คะแนน โดยที่ปริมาณน้ำคร่ำปกติ แปลผลว่าทารกในครรภ์ยังปกติดี ไม่จำเป็นต้องรีบให้คลอด โอกาสเกิด asphyxia ใน 1 สัปดาห์ น้อยกว่า 1 ใน 1000
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
มีปัญหาในการตรวจชนิดอื่น
คนท้องที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด โรค SLE โรคไทรอยด์ โรคไต โรคหัวใจ
มีปัญหาเรื่องกลุ่มเลือด Rh
ปริมาณน้ำคร่ำมากหรือน้อยกว่าปกติ
ทารกเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ หรือการเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ
เคยมีประวัติทารกเสียชีวิต
อายุครรภ์เกินกำหนดคลอด
ตั้งครรภ์แฝด
ตรวจในทารกที่อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์
สัญญาณเฉียบพลัน (Acute marker)
การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว การหายใจ และ tone ของกล้ามเนื้อ จัดเป็นสัญญาณเฉียบพลัน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะถูกควบคุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system, CNS) ที่ไวต่อภาวะขาดออกซิเจนแตกต่างกัน ดังนั้นถ้ามีความผิดปกติหรือไม่พบพฤติกรรมเหล่านี้แสดงถึงความผิดปกติของสภาวะสมดุลกรด-ด่างภายในร่างกายขณะที่ตรวจ แต่ถ้าพฤติกรรมเหล่านี้ยังปรากฏให้เห็นแสดงว่าระบบประสาทส่วนกลางยังทำงานได้ดีอยู่ การหายไปเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า ทารกอยู่ในภาวะคับขัน ขาดออกซิเจน หรือมีภาวะ acidosis แต่อาจเป็นแค่ความแปรปรวนของพฤติกรรม เช่น อยู่ในวงจรหลับตื่น (sleep cycle) หรือได้รับสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางซึ่งจะเกิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น มักพบได้บ่อยเวลาตรวจดูการหายใจและการเคลื่อนไหวที่อาจตรวจไม่พบในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 20-40 นาที
ภาวะขาดออกซิเจน ไม่จำเป็นที่จะต้องพบร่วมกับ acidosis เสมอไป ถ้ามีภาวะขาดออกซิเจนแบบฉับพลัน จะตรวจพบความผิดปกติของสัญญาณต่าง ๆ ได้แก่ nonreactive NST การหายใจและการเคลื่อนไหวลดลง แต่ถ้าเป็นภาวะขาดออกซิเจนแบบรุนแรง ทารกจะหยุดเคลื่อนไหวและ tone ก็หายไปด้วย โดยภาวะขาดออกซิเจนที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเรียงลำดับตามพัฒนาการของพฤติกรรม จากการศึกษาของ Vintzileos ในปี ค.ศ. 1983(20) พบว่า tone จะเริ่มมาแรกสุด คือ พบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 7-8 สัปดาห์ ตามด้วยการเคลื่อนไหวตอนอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ การหายใจเริ่มปรากฏอายุ 20 สัปดาห์และสุดท้าย variability ของการเต้นของหัวใจซึ่งจะเกิดหลังสุด โดยพบในช่วงไตรมาสที่ 3 ดังนั้นสิ่งที่เกิดก่อนมักจะหายไปหลังสุด และสิ่งที่เกิดหลังสุดเมื่อมีภาวะขาดออกซิเจนก็จะแสดงให้เห็นเป็นอย่างแรก
สัญญาณเรื้อรัง (Chronic marker)
เป็นลักษณะที่เกิดมานาน เรื้อรัง ไม่ได้เพิ่งเกิด ณ ขณะนั้น เช่น ปริมาณน้ำคร่ำลดลง เกิดจากภาวะ redistribution ของเลือดที่กระจายไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายจะไหลเวียนไปยังอวัยวะที่สำคัญเพิ่มมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปที่ไตน้อยลง มีผลลดการสร้างปัสสาวะของทารกในครรภ์ ทำให้ปริมาณน้ำคร่ำน้อย ซึ่งจะเกิดแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป อีกอย่างที่จัดเป็น สัญญาณเรื้อรัง คือ ลักษณะของรก ถ้าในรายที่รกเริ่มมีการเสื่อมสภาพ จะดูได้จากการแบ่ง grade ถ้า อยู่ใน grade 3 คือมี calcification ภายในจะทำให้การไหลเวียนและแลกเปลี่ยนสารอาหารไม่ดี พบว่าร้อยละ 44 จะสัมพันธ์กับ abnormal fetal heart rate pattern และร้อยละ 14.8 สัมพันธ์กับภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption)
การตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม
เด็กดาวน์ หรือ เด็กที่มี "กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม" จะมีความผิดปกติทางโครโมโซมซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาแต่กำเนิด เด็กจะมีความพิการที่เด่นชัดทางด้านสติปัญญาหรือที่เราเรียกว่ามีภาวะปัญญาอ่อน ร่วมกับมีความพิการทางร่างกาย เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง ความผิดปกติที่ระบบลำไส้ หรือมีระบบการได้ยินที่ผิดปกติ สำหรับภาวะปัญญาอ่อนนั้นมีความหนักเบาตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงมาก สตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงสูงต่อการตั้งครรภ์ทารกกลุ่มอาการดาวน์ ส่วนสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อยก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกันแต่จะพบได้น้อยกว่าตามอายุของสตรีที่คลอด
สาเหตุ
มีโครโมโซมเกินมาหนึ่งแท่ง คือ โครโมโซมคู่ที่ 21 มี 3 แท่ง แทนที่จะมี 2 แท่ง ตามปกติ
TRISOMY 21
วิธีการตรวจ
การเจาะตรวจน้ำคร่ำขณะอายุครรภ์17-20wks
โดยนำเซลล์จากตัวทารกที่หลุดลอยในน้ำคร่ำ
จะเจาะในรายที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น
คัดกรองเลือดแล้วได้ผลบวก
มารดามีอายุ35ปีขึ้นไป
ครรภ์ที่แล้วเป็นกลุ่มอาการดาวน์
ตรวจสารชีวเคมีในเลือด
hCG
alpha feto protein
estriol
inhibin A
PAPP-A
ตรวจได้ตั้งแต่ 16-18 wks
อัลตราซาวน์ร่วมกับการตรวจสารชีวเคมีในเลือด
ตรวจได้ตั้งแต่ 10-14 wks
อัลตราซาวน์จะวัดความหนาของผิวหนังบริเวณต้นคอ
Non-invasive prenatal testing (NIPT)
ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ
ตรวจได้ตั้งแต่ 10-12wks
ไตรมาสแรก (อายุครรภ์ 11-13 สัปดาห์)
โดยการเจาะเลือดแม่เพื่อดูระดับ PAPP-A + hCG iวมกับการอัลตราซาวด์วัดความหนาของต้นคอทารกในครรภ์ สามารถตรวจกรองกลุ่มอาการดาวน์ได้ 87%
ไตรมาสสอง (อายุครรภ์ 15-20 สัปดาห์)
โดยการเจาะเลือดแม่เพื่อดูระดับ MSAFP + hCG + uE3 + inh A สามารถตรวจกรองกลุ่มอาการดาวน์ได้ 81%
Ultrasound
การอัลตราซาวน์ในไตรมาสแรก
ไม่จำเป็นต้องทำทุกรายอย่างเป็นกิจวัตร แต่ควรทำเมื่อมีข้อบ่งชี้
จำประจำเดือนได้ไม่แน่นอน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือตั้งครรภ์ขณะใช้ยาคุมกำเนิด
มีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง มีเลือดออก ทำให้สงสัยว่าอาจเกิดการแท้งหรือท้องนอกมดลูก
มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์แฝด
เพื่อคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ โดยการวัดความหนาของผนังคอ
มีความแม่นยำในการประเมินอายุครรภ์มากที่สุด
ข้อมูลที่ได้จากการตรวจในไตรมาสแรก
จำนวนทารก
อายุครรภ์
ตำแหน่งการฝังตัวว่านอกหรือในมดลูก
การมีชีวิตของทารก
ความผิดปกติบริเวณรังไข่หรือท่อนำไข่
ความพิการบางอย่าง เช่น ไม่มีกระโหลกศีรษะ
การอัลตราซาวน์ในไตรมาสที่ 2
แนะนำให้ทำทุกราย ในช่วงอายุครรภ์ 18-22wks เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของทารก
สามารถตรวจพบความพิการแต่กำเนิดที่สำคัญได้แตกต่างกัน
ดูความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายทารกในครรภ์ ได้แก่ กะโหลกศีรษะ เนื้อสมอง ใบหน้า โครงกระดูก แขนขา มือเท้า ทรวงอก เนื้อปอด หัวใจ ผนังหน้าท้อง อวัยวะหลักภายในช่องท้อง
มีประโยชน์เพื่อช่วยวินิจฉัยความผิดปกติของการตั้งครรภ์ แต่ไม่ใช่การตรวจที่จะยืนยันหรือรัรองความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ 100%
การอัลตราซาวน์ในไตรมาสที่ 3
ข้อบ่งชี้
ตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ได้ แต่อาจมีข้อจำกัดจากขนาดและท่าของทารก
ตรวจติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เสี่ยงสูง
ประเมินน้ำหนักทารกเมื่อใกล้คลอด
ประเมินท่าของทารก
ตรวจติดตามตำแหน่งของรก
ตรวจสงสัยปริมาณน้ำคร่ำ
คือ คลื่นเสียงความถี่สูง 3.5 - 7 megahertz ที่ปล่อยออกมาจากหัวตรวจ (Transducer) ที่สัมผัสกับผนังหน้าท้องของแม่ คลื่นเสียงจะไปตกกระทบที่เนื้อเยื่อแล้วสะท้อนกลับมา เครื่องก็จะอ่านผลเป็นความเข้มหรือจางขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเนื้อเยื่อ ภาพที่แสดงให้เห็นทางจอภาพจะแสดงในรูปแบบของจุด (Pixel)
ชนิดของ ultrasound
Standard Ultrasound เป็น ultrasound มาตราฐานที่ตรวจทางหน้าท้อง
Doppler Ultrasound เป็น ultrasound ที่ใช้สำหรับวัดการไหลเวียนของเม็ดเลือด
Fetal Echocardiography เป็น ultrasound เพื่อไว้ตรวจหัวใจเด็ก
Transvaginal Scans เป็นultrasound ที่ออกแบบสำหรับสอดเข้าช่องคลอดเพื่อตรวจ โดยทั่วไปเหมาะสำหรับการตรวจตอนตั้งครรภ์ในระยะแรก
Advanced Ultrasound เป็น ultrasound ที่ออกแบบพิเศษสำหรับปัญหาที่ซับซ้อน
3-D Ultrasound เป็น ultrasound ที่ออกแบมาเพื่อสร้างภาพสามมิติเพื่อการพัฒนาของทารก
4-D or Dynamic 3-D Ultrasound เป็น ultrasound เพื่อดูหน้าและการเคลื่อนไหวของอวัยวะ
CST (Contraction stress test)
การพยาบาล
จัดหญิงตั้งครรภ์อยู่ในท่า Semi-fowler
2.บันทึกความดันโลหิตก่อนทำ เพื่อตรวจสอบภาวะ supine hypotension
3.ใช้ tocodynamometer ของ external monitor คาดหน้าท้องมารดาเพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูกที่เกิดเองหรือเด็กดิ้น
4.ใช้ Doppler FHR transducer คาดเข้ากับหน้าท้องหญิงตั้งครรภ์ เพื่อบันทึก FHR ตลอดเวลาการทำ
ให้หญิงตั้งครรภ์ กด mark ทุกครั้งเมื่อเด็กดิ้น
เมื่อครบ 20 ครั้ง อ่านผลได้ และปลด tocodynomometer และ Doppler FHR transducer ออกจากหน้าท้องมารดา
7.มดลูกมีการหดตัวเองหรือกระตุ้นด้วย Oxytocin ให้มดลูกหดรัดตัว 3 ครั้ง ใน 10 วินาที duration 40-60 วินาที แต่ต้องหยุดให้ Oxytocin เมื่อพบว่ามี fetal distress และ มดลูกหดรัดตัวแบบไม่คลาย
ข้อบ่งชี้
มีการเร่งการเจ็บครรภ์โดยใช้ยาเร่งคลอด
ทำ NST ได้ผล Non Reactive
มารดาตั้งครรภ์เกินกำหนด
ข้อบ่งห้ามในการทำ
ปากมดลูกหย่อนสมรรถภาพ
เคยได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
มีประวัติเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ตั้งครรภ์แฝดหรือครรภ์แฝดนํ้า
มีเลือดออกขณะตั้งครรภ์
ภาวะรกเกาะตํ่า
Premature Rupture Of Membranes
วิธีการตรวจ
จัดท่า semi-Fowler หรือ ท่านอนตะแคงซ้าย จะดีกว่าท่านอนหงายซึ่งมักทำให้เกิด supine hypotension มีผลต่อการแปลผล NST
วัดความดันโลหิต
ติดเครื่อง electronic fetal monitoring โดยติดหัวตรวจ tocodynamometer เพื่อบันทึกการหดรัดตัวของมดลูก ไว้ที่ตำแหน่งยอดมดลูก และหัวตรวจ FHR ไว้ที่ตำแหน่งหลังของทารกที่ได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจชัดที่สุด
บันทึกรูปแบบการเต้นของหัวใจ ระหว่างที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งควรมี 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละ 40-60 วินาที ถ้าไม่มีให้ชักนำด้วยวิธีดังต่อไปนี้
กระตุ้นด้วย oxytocin โดยให้ทางหลอดเลือดดำ เริ่มที่ 0.5 mU/เพิ่มได้ทีละ 2 เท่า ทุก 15-20 นาที จนกระทั่งมี การหดรัดตัวของมดลูก 3 ครั้งใน 10 นาที แต่ละครั้งนาน 40-60 วินาที
การทำ nipple stimulation โดยใช้มือคลึงที่หัวนมทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง หรือ คลึงไปมาที่หัวนมข้างเดียวนาน 2 นาที แล้วหยุด 5 นาที ถ้าการหดรัดตัวยังไม่ถึงเกณฑ์ให้กระตุ้นแบบเดิมต่อ
late deceleration ของ FHR ทุกครั้งที่มีการหดรัดตัวของมดลูก ถึงแม้จะยังไม่ถึง 20 นาที หรือไม่ถึงเกณฑ์การหดรัดตัวที่น่าพอใจก็ให้หยุดทดสอบได้
หลังหยุดสังเกตการหดรัดตัวของมดลูก จนหายไป
การแปลผล
ผล Negative หมายถึง ไม่มี deceleration ในขณะทำการทดสอบ โดยมีการหดรัดตัวของมดลูกอย่างน้อย 3 ครั้งใน 10 นาที นานครั้งละอย่างน้อย 40-60 วินาที
ผล Positive หมายถึง มี Late deceleration มากกว่าครึ่งหนึ่งของการทดสอบที่มีการหดรัดตัวของมดลูก
ผล Equivocal มี 3 แบบ
Suspicious หมายถึง มี Late deceleration น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการทดสอบ
Hyperstimulation หมายถึง มี Late deceleration ขณะที่มีหรือตามหลังการหดรัดตัวของมดลูกที่นานกว่า 90 วินาที หรือบ่อยกว่าทุก 2 นาที แต่ถ้ามีการหดรัดตัวบ่อยโดยที่ไม่มี late deceleration ให้แปลผลเป็น negative
Unsatisfied หมายถึงไม่สามารถทำ ให้มีการหดรัดตัวของมดลูกที่เหมาะสมได้ หรือคุณภาพการบันทึกไม่ดี แปลผลไม่ได้
Non stress test (NST)
การแปลผล
Reactive หมายถึง การเพิ่มขึ้นของ FHR มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที อย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงการตรวจ 20 นาที อาจเกิดในช่วงใดของการตรวจภายใน 40 นาทีก็ได้ โดยระหว่างที่ตรวจสามารถกระตุ้นการเคลื่อนไหวด้วย artificial larynx กระตุ้นครั้งละ 1-2 วินาทีที่หน้าท้องมารดาซึ่งสามารถทำซ้ำได้ 3 ครั้ง ถ้าอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ ให้ลดเกณฑ์ลง
Nonreactive หมายถึง การเพิ่มขึ้นของ FHR ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของ FHR เลยในการตรวจนาน 40 นาที
ข้อบ่งชี้
Medical complication
type1 diabetes mellitus
systemic lupus erythematosis
hemoglobinopathies
antiphospholipid syndrome
poorly controlled hyperthyroidism
cyanotic heart disease
chronic renal disease
hypertensive disorder
Obstetrics complication
Preeclampsia
Decreased fetal movement
Oligohydramnios / Polyhydramnios
Intrauterine growth restriction
Postterm pregnancy
Isoimmunization
Previous unexplained fetal demise
Multiple gestation
รูปแบบการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์(fetal heart rate pattern)
FHR baseline ทารกปกติจะอยู่ระหว่าง 110-160 bpm
FHR variability คือ การแปรปรวนของการเต้นของหัวใจ ถ้าเป็นความแปรปรวนระหว่างการเต้นแต่ละครั้ง เรียกว่า beat to beat variability หรือ short term variability แต่ถ้าเป็นความแปรปรวนของ baseline FHR ในแต่ละช่วงเวลา เรียกว่า long term variability
Absent variability คือ ไม่มีความแปรปรวนของ FHR เมื่อมองด้วยตาเปล่า สัมพันธ์กับภาวะ asphyxia ของทารกในครรภ์สูง
Minimal variability คือ สังเกตเห็นความแปรปรวนของ FHR ได้แต่มีขนาดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 bpm สัมพันธ์กับภาวะ acidosis ของทารกในครรภ์ แต่อาจไม่มี asphyxia ก็ได้
Moderate (normal) variability คือช่วงขนาดของความแปรปรวนอยู่ระหว่าง 6-25 bpm มักพบในทารกปกติ
Marked variability คือ ความแปรปรวนของ FHR มากกว่า 25 bpm สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ และยังเป็นการตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจน
FHR acceleration คือ การเพิ่มขึ้นของ FHR อย่างฉับพลัน มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm และนานกว่า 15 วินาที แต่น้อยกว่า 2 นาที แต่ถ้านานกว่า 2 นาที แต่ไม่ถึง 10 นาที จัดเป็น prolonged deceleration แต่ในรายที่อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ เกณฑ์การวินิจฉัยลดลงเป็น เพิ่มขึ้น 10 bpm นานกว่า 10 วินาที
FHR deceleration คือ การลดลงของ FHR ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชนิด
Early deceleration คือ การลดลงของ FHR อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปและกลับคืนสู่ baseline อย่างช้า ๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุด และการกลับคืนสู่ baseline จะตรงกับจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูก จุดสูงสุด และการคลายตัวของมดลูกกลับคืนสู่ baseline
Variable deceleration คือ การลดลงของ FHR อย่างฉับพลัน สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า โดย FHR จะลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm คงอยู่นานมากกว่าหรือเท่ากับ 15 วินาที และไม่นานเกิน 2 นาที โดยอาจจะสัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูกหรือไม่ก็ได้
Late deceleration คือ การลดลงของ FHR อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปและกลับคืนสู่ baseline อย่างช้า ๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุด และการกลับคืนสู่ baseline จะเกิดช้ากว่าจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของมดลูก จุดสูงสุด และการคลายตัวของมดลูกกลับคืนสู่ baseline
วิธีการตรวจ
1.อายุครรภ์ที่เหมาะสมในการตรวจคือ 30-32 สัปดาห์
2.เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจ
Tocotransducer สำหรับวัดการหดรัดตัวของมดลูก
Ultrasound transducer สำหรับบอกอัตราการเต้นของหัวใจทารก
Marker กดเมื่อรู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้น
Papergraph แผ่นกราฟบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจทารก การหดรัดตัวของมดลูก และเครื่องหมายแสดงการดิ้นของทารก
3.การตรวจ NST มิได้ใส่เครื่องมือใดๆเข้าสู่ร่างกาย ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่จะมีการติดตั้งเครื่องมือกับร่างกายของสตรีตั้งครรภ์ เพื่อบันทึกการเต้นของหัวใจและการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
Doppler ultrasound
ใช้ในการตรวจหาการเต้นของหัวใจทางรกในครรภ์ รวมถึงการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อประเมินสุขภาพและตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์
ข้อบ่งชี้ในการทำ
การเพิ่มขนาดของอวัยวะในช่องท้อง
อาการปวด ตึง หรือ แน่นท้อง
ผลเลือดตับผิดปกติ
ก้อนนิ่วในถุงน้ำดีหรือไต
หลอดเลือดแดงเอออร์ตาในช่องท้องโป่งพอง
น.ส.ฐิติยา ทรงชัยวรวุฒ 180101047 พยบ.ปี3
นางสาวฐิติยา ทรงชัยวรวุฒ 180101047 พยบ ปี3