Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์, นางสาวฐิตาภรณ์ สังขจำเริญ รหัส 180101046…
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
ประโยชน์ของการประเมิน
Primary Goal เพื่อป้องกันการเกิดภาวะพิการแต่กำเนิดและภาวะขาดออกซิเจนและเลือดเป็นกรดในทารก
Secondary Goal เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดบาดเจ็บต่อระบบประสาทของทารกในครรภ์
สรุป Fetal heart rate patterns
Mild late Decelerations
จากการตอบสนองของระบบประสาทส่วนกลางต่อการขาดออกซิเจน
Severe late Decelerations
ผลจากการกดการทำงานของกล้ามเนื่อหัวใจโดยตรง
ร่างกายทารกจะมี ต่ำลงและเสี่ยงภาวะทุพพลภาพและเกิดการตายก่อนกำหนด
Late Decelerations
FHR เป็นรูป U-shaped
อัตราการเต้นของหัวใจทารกเริ่มช้าลง
กลับคืนปกติเมื่อมดลูกไม่หดรัดตัว
Late Deceleration ที่ไม่มี Variability
สภาวะเลือดเป็นกรดในทารกซึ่งกำลังเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน
การตรวจทางชีวฟิสิกส์ Biophysical assessment
1.Baseline fetal heart sound
เฉลี่ย 110-160 bpm ใน 10 นาที
Tachycardia >160 bpm
Maternal fever
Fetal infection
Hypoxia
Drug
Hyperthyroidism
Bradycardia < 110 bpm
2. Variability อัตราการเต้นของหัวใจทารกที่เปลี่ยนแปลง
Absent ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของ amplitude
Minimal เปลี่ยน 0-5 bpm
Moderate เปลี่ยน 6-25 bpm (ปกติ)
Marked เปลี่ยน > 25 bpm
3.Acceleration การเพิ่มขึ้นของ FHS
มากกว่า = 32 สัปดาห์ FHS สูงจาก baseline > 10 bpm ใน 10 วินาที (ปกติ)
น้อยกว่า = 32 สัปดาห์ FHS สูงจาก baseline > 15 bpm ใน 15 วินาที
4.Deceleration การลดลงของ FHS
2.ระยะคลอด
2.1 External fetal monitoring (EFM)
การอ่านผล
1.การ Identify ชื่อผู้ป่วย วันที่และเวลา
2. การดูลักษณะ FHR & Uterine contraction
FHR baseline
Variability
Acceleration
Deceleration
Late Deceleration
FHR ค่อยๆลดลงและกลับสู่ baseline ปกติ ไม่สัมพันธภาพกับการหดรัดตัวเกิดตามหลังการหดรัดตัวที่สูงที่สุดพบใน Utero-placental insufficiency
Vaeiable Deceleration
FHR ลดลงต่ำกว่า baseline > 15 bpm นานกว่า 15 วินาที แต่น้อยกว่า 2 นาที onset ความลึก/ระยะเวลา ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวเกิดจากสายสะดือของทารกถูกกด (Cord compression)
Early Deceleration
FHR ค่อยๆลดลงและกลับสู่ baseline ปกติ สัมพันธภาพกับการหดรัดตัว
2.2 Internal fetal monitoring (IFM)
1.ระยะตั้งครรภ์ (Antepartum)
1.1 ตรวจดูอัตราการเต้นของหัวใจทารกเมื่อมีการเคลื่อนไหว (Non stress test : NST)
ข้อบ่งชี้ในการทำ NST
ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
ตั้งครรภ์เกินกำหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ภาวะแทรกซ้อนร่วมกับการตั้งครรภ์ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โลหิตจาง
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ตั้งครรภ์แฝด
ภาวะ Rh isoimmunization
อายุมากกว่า 35 ปี
มีประวัติทารกตายในครรภ์
การพยาบาล
อธิบายเหตุผลและขั้นตอนการทำ
แนะนำให้ถ่ายปัสสาวะก่อนตรวจ
สร้างสัมพันธภาพ
จัดให้สตรีตั้งครรภ์นอนศีรษะสูง 30 องศา
ตรวจครรภ์หาตำแหน่งหลังส่วนสะบักด้วยวิธี Leopold Maneuver คาดสายรัดหน้าท้องโดยให้หัว ultrasonic transducer วางบนตำแหน่งที่ฟังการเต้นของหัวใจทารกได้ชัดเจน
แนะนำให้กดปุ่มFetal movement marker เมื่อรู้สึกว่าทารกดิ้นหรือเคลื่อนไหว
กรณีต้องการประเมินการหดรัดตังของมดลูก ให้คาดหน้าท้องบริเวณยอดมดลูกด้วย toco transducer เพื่อบันทึกระยะเวลา (duration) ความถี่ห่าง (interval) และความรุนแรง (severity) ของการหดรัดตัวของมดลูก
เปิดเครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจทารกลงบนกราฟนาน 20 นาที
กรณีที่ทารกในครรภ์ไม่ดิ้น อาจเนื่องจากทารกหลับให้กระตุ้นทารกทางหน้าท้องด้วย fetal acoustic stimulator
การแปลผล
Suspicious (ทารกอาจผิดปกติ
) - มีการเพิ่มของ FHS < 2 ครั้ง/อัตราเพิ่มขึ้น < 15 bpm
อยู่สั้นกว่า 15 วินาที เมื่อทารกเคลื่อนไหว
ทดสอบซ้ำใน 24-48 ชั่วโมง
Uninterpretable (อ่านผลไม่ได้)
ทดสอบซ้ำใน 24 ชั่วโมง หรือตรวจด้วยวิธีอื่น
Non-reactive (ผิดปกติ)
ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของ FHS เมื่อทารกเคลื่อนไหวภายใน 40 นาที
Baseline Variability ลดลงหรือหายไป
สาเหตุ
ทารกหลับนาน 20-75 นาที ให้กระตุ้นfetal acoustic stimulator และบันทึกต่อไปอีก 20 นาที ทารกอายุครรภ์น้อยจากประสาทส่วนกลางยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
Reactive (ปกติ)
Preg >= 32 สัปดาห์ FHR เพิ่มขึ้น > 15 bpm นาน 15 วินาที เมื่อทารกเคลื่อนไหวอย่างน้อย 2 ครั้งใน 20 นาที Baseline 110-160 bpm
Preg < 32 สัปดาห์ FHR เพิ่มขึ้น > 10 bpm นาน 10 วินาที เมื่อทารกเคลื่อนไหวอย่างน้อย 2 ครั้งใน 20 นาที Baseline 110-160 bpm
1.2 การเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นหัวใจทารกเมื่อมดลูกหดรัดตัว (Contraction stress test CST)
การพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพ
จัดท่า Semi-fowler position เพื่อป้องกัน Supine hypotensive syndrome
เตรีนมให้ oxytocin 5 unit ในน้ำเกลือ 500 ml อัตรา 5-10 หยด/นาที จนมดลูกหดรัดตัว 3 ครั้ง ใน10 นาที นานครั้งละ 40-60 วินาที อาจให้การกระตุ้นหัวนม (nipple stimulation)
ประเมิน FHR เมื่อมดลูกหดรัดตัวและรายงานผลการตรวจให้แพทย์ทราบ
หลังการตรวจ ติดตามการหดรัดตัวมดลูกทุก 10 นาที เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
อธิบายเหตุผลและขั้นตอนการตรวจ
ข้อห้ามในการตรวจ
มีประวัติผ่าคลอด
มีประวัติเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
มีครรภ์แฝด
มดลูกรูปร่างผิดปกติ รกเกาะต่ำ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
การแปลผล
Suspicious
มี late deceleration แต่ไม่เกิดขึ้นทุกครั้ง
Positive(เริ่มไม่ค่อยดี)
มี late deceleration
Negative(สุขภาพดี)
มดลูกหดรัดตัว 3 ครั้ง ใน 10 นาที โดยไม่มี late deceleration
Unsatisfactory
ไม่สามารถอ่านผล FHS ได้ มดลูกหดรัดตัว <3 ครั้งใน 10 นาที
1.3 Fetal biophysical profile BPP
ตรวจโดย ultrasound (ไม่ค่อยใช้)
1.3.3 กำลังกล้ามเนื้อของทารก fetal tone FT
1.3.4 การที่หัวใจทารกตอบสนองเมื่อทารกเคลื่อนไหว reactive fetal heart sound FHS
1.3.2 การเคลื่อนไหวของทารากทั้งร่างกาย gross body movement FM
1.3.5ปริมาณน้ำคร่ำ amniotic fluid volume
1.3.1 การหายใจของทารก fetal breathing movement FBM
การตรวจทางชีวเคมี Biochemical assessment :
1.การคัดกรองจากเลือดมารดาหาระดับแอลฟาฟีโตโปรตีน Maternal serum alpha - fetoprotein screening MSAFP
ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 15 สัปดาห์
ค่าปกติ AFP = 2.5 MoM (Multiple of Median) ถ้า AFP > 2.5 MoM ทารกเสี่ยงมีท่อประสาทเปิด (Neural tube defects) AFP < 2.5 MoM ทารกเสี่ยงเป็นกลุ่มอาการดาวน์ (Down sundrome)
การดูดเนื้อเยื่อรก (Chorionic Villus Sampling = CVS)
2.1 Transcervical chorionic villus sampling อายุครรภ์ 10-14 สัปดาห์
2.2 Transabdominal chorionic villus sampling
เก็บตัวอย่างเลือดทารกในครรภ์ (Fetal blood sampling)
ภาวะทารกบวมน้ำ (Hydrops fetalis)
การติดเชื้อไวรัส
:red_cross:
เป็นวิธีที่ไม่นิยมทำ
:red_cross:
ตรวจโรคทางพันธุกรรม ธาลัสซีเมีย ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia)
4.การตรวจระดับ Estriol(E3) ในเลือดและปัสสาวะจากมารดา
การตรวจทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์28-32 สัปดาห์เป็นต้นไป
การแปลผล
E3 ที่อยู่ในช่วง 2SDของแต่ละสัปดาห์ ทารกปกติดี (Reassuring)
E3 ที่ต่ำกว่าช่วง 2SD ของแต่ละสัปดาห์ ไม่อาจรับประกันได้ว่าทารกปกติ (Nonreassuring)
ระดับ E3 จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงอายุครรภ์ 35-36 สัปดาห์ และสูงคงที่ที่ 40 สัปดาห์
พบผลบวกสูงจากหลายปัจจัยที่รบกวนระดับ E3
ใช้ยาสเตียรอยด์
กินยาปฏิชีวนะ ทำให้ลดการดูดซึมที่ลำไส้สตรีตั้งครรภ์
การตรวจ Human placenta lactogen
เริ่มสร้างในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากตกไข่
ระดับสูงสุดเมื่อ GA 36-37 สัปดาห์
6.การเจาะน้ำคร่ำ
6.2 ทดสอบความสมบูรณ์ของปอดทารกในครรภ์ (Lung maturity test)
เมื่ออายุครรภ์ 36 - 37 สัปดาห์
เพื่อลดความเสี่ยงเกิดภาวะ respiratory distress syndrome (RDS)
6.2.2 Shake / Foam stability index
ตรวจพบหลอดทดลอง 3 ใน 5 หลอดมีฟองอากาศ
6.2.3 การตรวจ Phosphatidylglycerol
ค่า PG ในน้ำคร่ำ > ร้อยละ 9 - 10 ของสารตึงผิว
6.2.1 การวัดอัตราส่วนของ Lecithin / Sphingomyelin
ต้อง >/= 2 : 1 แสดงว่าปอดทารกสมบูรณ์
การพยาบาลก่อนเจาะน้ำคร่ำ
สร้างสัมพันธภาพ
อธิบายเหตุผลและขั้นตอน
ประเมินอายุครรภ์ก่อนทำการเจาะ
อธิบายการดูแลตนเองขณะทำและหลังทำ
เปิดโอกาสให้ซํกถาม
เตรีมเครื่องมือเจาะน้ำคร่ำ
ให้ปัสสาวะก่อนทำ
ให้กำลังใจอยู่ข้างเตียงขณะทำ
6.1 ตรวจหาโครโมโซมเพื่อประเมิน Down syndrome
เมื่ออายุครรภ์ 15 - 18 สัปดาห์
การพยาบาลหลังเจาะน้ำคร่ำ
นอนพัก 15 - 30 นาทีหลังการเจาะ
สังเกตอาการผิดปกติ อาการปวดท้อง หรือเลือดออก
ถ้าตรวจหาโครโมโซมที่มีความเสี่ยงเป็น Down syndrome จะนัดฟังผล4 สัปดาห์
การตรวจทางคลินิก Clinical assessment
1.การซักประวัติ
ประวัติครอบครัว
ประวัติการใช้ยาและแพ้ยา
ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดในอดีต
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
ประวัติส่วนตัว อายุ
2.ชั่งน้ำหนักมารดา
ก่อนท้อง BMI ปกติ19.8-26.0
ไตรมาสแรก เพิ่ม 1.6 kg
ไตรมาส2 และ3 0.46 kg
ตลอดการตั้งครรภ์ 11.5 - 16 kg
ก่อนท้อง BMI < 19.8
ไตรมาสแรก เพิ่ม 2.3 kg
ไตรมาส2 และ3 0.49 kg
ตลอดการตั้งครรภ์ 12.5-18 kg
ก่อนท้อง BMI > 26-29
ไตรมาสแรก เพิ่ม 0.9 kg
ไตรมาส2 และ3 0.3 kg
ตลอดการตั้งครรภ์ 7-11.5 kg
ครรภ์แฝด
ไตรมาสแรก เพิ่ม1.6 kg
ไตรมาส2 และ 3 0.75 kg
ตลอดการตั้งครรภ์ 16-20.5 kg
3.การวัดความสูงของยอดมดลูก
3.2 การวัดระดับความสูงของยอดมดลูกด้วยสายเทป
ใช้วิธี McDonald
อายุครรภ์ (สัปดาห์) = ความสูงของมดลูก(cm) x 8/7 หรือ
อายุครรภ์ (เดือน) = ความสูงของมดลูก(cm) x 2/7
ถ้าค่าความสูงที่วัดได้ >/< ค่าคำนวณได้ 3 cm
ผิดปกติ
3.1 การคลำระดับความสูงของยอดมดลูก
3⁄4 +> สะดือ = 38-40 สัปดาห์ (กรณีท้องหลัง)
3⁄4- > สะดือ = 38-40 สัปดาห์ (ท้องแรกเนื่องจากท้องลด Head engagement = HE)
3/4> สะดือ = 36 สัปดาห์
2/4+ > สะดือ = 32 สัปดาห์
2/4- > สะดือ = 28 สัปดาห์
1⁄4 > สะดือ = 24 สัปดาห์
ระดับ สะดือ = 20 สัปดาห์
2/3 > หัวหน่าว = 16 สัปดาห์ (หรือ 1/3 < สะดือ)
1/3 > หัวหน่าว = 12 สัปดาห์ (หรือ 2/3
การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Fetal heart rate : FHR)
5.การตรวจนับจำนวนทารกในครรภ์ดิ้น (Fetal movement count : FMC)
1.วิธีการนับครบสิบ(count to ten) หรือวิธีการคาร์ดิฟ (cardift count to ten
)
เริ่มนับเมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์
นับการดิ้นหรือการเคลื่อนไหวของทารกต่อเนื่องจนครบ 10 ครั้ง ภายใน 4 ชั่วโมง
2.วิธีการของซาดอฟกี้(Sadovsky)
นับการดิ้นของทารกในครรภ์วันละ3 ครั้ง ครั้งละ 1ชั่วโมง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น
ผลรวมจำนวนครั้งการดิ้น 3เวลา มีค่าเท่ากับ >= 10 ครั้ง
แปลผล สุขภาพปกติ
ถ้าทารกดิ้น < 10 ครั้ง /วัน ให้มาพบแพทย์ก่อนนัด อาจกิดภาวะขาดออกซิเจน fetal distress ทารกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งต่อ 12 ชั่วโมงเป็นเวลา 2 วัน และถ้าหยุดดิ้นประมาณ 12-24 ชั่วโมง ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ เรียกว่า
Movement alarm signal (MAS)
นางสาวฐิตาภรณ์ สังขจำเริญ
รหัส 180101046
นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 3 :pencil2: