Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy: ECT) - Coggle Diagram
การรักษาด้วยไฟฟ้า
(Electroconvulsive therapy: ECT)
วิธีการรักษาด้วย (Electroconvulsive therapy: ECT)
Unmodified ECT เป็นการรักษาด้วยไฟฟ้า โดยไม่ใช้ยาทำให้หมดความรู้สึก ก่อนปล่อยกระแสไฟฟ้า ผู้ป่วยจะมีอาการชักที่รุนแรงแบบ tonic clonic convulsion ซึ่งจะใช้มาก ในโรงพยาบาลจิตเวชที่มีผู้ป่วยมาก แต่บุคลากรทางการแพทย์มีน้อย ค่าใช้จ่ายในการรักษาน้อยผลแทรกซ้อน
Modified ECT เป็นการรักษาด้วยไฟฟ้าที่ใช้ยาสลบที่ออกฤทธิ์สั้น (short-acting barbiturate or sedative/anathetic) เช่น thiopental sodium (pentothal) หรือ methohexital sodium (Brevitol) และยาลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ (muscle relaxant) หลังยาสลบท่ีออกฤทธ์ิสั้น เช่น susinylcholine ก่อนผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปที่สมองผู้ป่วย เพื่อลดความรุนแรงของการชัก (tonic/clonic stage of seizure) พร้อมทั้งให้อ๊อกซิเจน (O2) ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นการรักษาจนกระทั่งผู้ป่วยเริ่มหายใจ เองได้อย่างปกติ หลังทำพยาบาลต้องใช้ ambubag ช่วยให้ O2 เข้าปอดให้ได้เต็มที่ ท้ังนี้เพราะการรักษา แบบน้ีผู้ป่วยจะหยุดหายใจนานเนื่องจากยาท่ีฉีดให้ การรักษาวิธีนี้มักใช้ในโรงพยาบาลที่พร้อมทั้งบุคลากร ทางการแพทย์ วัสดุ อุปกรณ์ ในการดมยาสลบ
ข้อบ่งชี้ในการรักษาด้วยไฟฟ้า
การรักษาด้วยไฟฟ้ามักใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตขั้นรุนแรง หรือมีข้อจำกัดในการ รักษาด้วยยา หรือรักษาวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล ได้แก่
ผู้ที่ไม่สามารถทนต่ออาการข้างเคียงจากการรักษาด้วยยาได้หรือมีอาการแพ้ยา (cannot tolerate the side effects of pharmacotherapy)
กลุ่มที่มีความคิด และความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย (suicidal ideation with or without a plan)
กลุ่มที่ขาดความสมดุลของสารน้ำสารอาหารจากความผิดปกติของการรับประทาน(decreased appetite with weight loss/overeating with weight gain)
กลุ่มที่มีพฤติกรรมการนอนไม่หลับ(insomnia)หรือนอนมากเกินไป(hypersomnia)
กลุ่มที่มีความผิดปกติทางจิตรุนแรง เช่น ผู้ป่วยโรค schizophrenia ชนิด catatonic type
กลุ่มผู้ป่วยที่มีอารมณ์แปรปรวน คลุ้มคลั่ง (mania) เป็นต้น
กลุ่มท่ีไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
กลุ่มท่ีรักษาอาการทางจิตในขณะตั้งครรถ์ไตรมาสแรกและแพทย์วินิจฉัยว่ามีข้อจากัดในการ
รับประทานยา
ผู้ที่เข้ารับรักษาด้วยไฟฟ้าแพทย์มักจะพิจารณาให้ได้รับการรักษา3 คร้ังต่อสัปดาห์
และจะได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 6-12 คร้ัง ตามแผนการรักษาซึ่งจำนวนครั้ง ความถี่ของการรักษาอาจแตกต่างกันตามภาวะสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละบุคคล
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการรักษาด้วยไฟฟ้า
การเข้ารับการรักษาด้วยไฟฟ้าต้องได้รับการประเมิน ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ว่ามีโรค ประจำตัว หรือภาวะร่างกาย ที่อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงท่ีจะได้รับอันตรายจากการรักษาด้วยไฟฟ้า ได้แก่
โรคเนื้องอกในสมอง(brain tumor)เนื่องจากการทาECTทาให้intracranial pressure เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เกิดกระกระจายตัวของเนื้องอกมากข้ึน
โรคระบบหัวใจและหลอดเลือดเนื่องจากขณะชักส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วมากขึ้น
โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
การติดเชื้อในกระแสโลหิตเฉียบพลัน
ภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกพรุน ( bone disease )อาจทำให้กระดูกแตกหักได้
โรคความดันโลหิตสูง (Sever Hypertension)
โรคปอด
ผู้ป่วยสูงอาย
อาการแทรกซ้อนหลังได้รับการรักษา
อ่อนเพลีย (fatigue)
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (muscle soreness)
สับสน มึนงง (mild temporary confusion)
สูญเสียความทรงจำชั่วคราว (short-term memory loss)
ปวดศรีษะ (Headache)
กระดูกหัก (fracture)
หยุดหายใจนาน (apnea)
8.สาลัก อาเจียน
โดยปกติอาการต่างๆ เหล่านี้จะดึข้ึนภายใน 1 สัปดาห์หลังได้รับการรักษา
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า
การพยาบาลในระยะก่อนทำการรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy: ECT)
ให้ญาติเซ็นใบยินยอมให้ทำการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า
ประเมินอาการของผู้ป่วยเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้
2.1 ลักษณะสภาพทางอารมณ์ของผู้ป่วยและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
2.2 ลักษณะการคิดหรือการพูด
2.3 ความสามารถในการจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว
2.4 ประวัติการใช้ยาและการแพ้ยา
2.5 ระดับความสามารถในการทำกิจกรรม
2.6 ระดับความเข้าใจของผู้ป่วยและญาติต่อการรักษา
เตรียมความพร้อมของผู้ป่วยทางด้านร่างกาย
3.1 ตรวจร่างกาย วัดสัญญาณชีพก่อนทำ ถ้าพบความผิดปกติควร
รายงานแพทย์
3.2 งดน้ำและอาหารทางปากก่อนอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ไม่ติดกิ๊บ
เครื่องประดับ ฟันปลอม แว่นตา เลนส์ แหวน นาฬิกา ไม่ทาเล็บ เพื่อ จะได้สังเกตอาการขาดออกซิเจน สระผมให้สะอาด ไม่ใส่น้ำมัน เพราะจะเป็นสื่อไฟฟ้า
3.3ถ่ายปัสสาวะก่อนทาเป็นเวลา10–15นาทีเพื่อป้องกัน rupture bladder
เตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจ
การพยาบาลขณะทำการรักษาด้วยไฟฟ้า ( Electroconvulsive therapy: ECT)
กล่าวทักทายผู้ป่วยด้วยท่าทีท่ีเป็นมิตรและจัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบ ให้ออกซิเจนก่อนวาง electrode ท่ีขมับทั้งสองข้าง
ฉีดยา Fresofol (Propofol) เข้าทางหลอดเลือดดาและฉีด Succinyl Asta (Muscle relaxant) แล้วรอทดสอบว่าผู้ป่วยไม่มี fasciculation ท่ีบริเวณปลายแขนปลายขา และกล้ามเนื้อรอบ ๆ ตา หรือเรียกชื่อ หรือดู eyelask, reflex ก่อนให้แพทย์ปล่อยกระแสไฟฟ้า
สังเกตการชักจะเกิดลักษณะ grand mal seizure หรือ generalized seizure จากการที่มี plantar flexionเพียงเล็กน้อยของท้ัง2เท้าซ่ึงเป็นช่วง tonic phase ประมาณ10 วินาที หลังจากน้ันจะมีการ เคลื่อนไหวของนิ้วเท้า ซึ่งเป็นช่วง Clonic phase ขณะชักต้องให้ ventilation เพิ่มข้ึน เมื่อผู้ป่วย หยุดชักต้องให้ออกซิเจนต่อไปอีกจนกว่าจะหายใจได้เอง หากหยุดหายใจต้องช่วยผายปอดและกระตุ้น การหายใจ
ถ้ามีเสมหะ ต้องรีบดูแลเสมหะทั้งในปากและจมูกให้หมด แล้วให้นอนตะแคง
ตรวจสอบว่า มีฟันหัก โยกคลอน กัดล้ินหรือริมฝีปาก หรือมีเลือดออก ตามไรฟันและอื่น ๆ หรือไม่
วัด Vital signs ตลอดเวลา ต้ังแต่เร่ิมให้การรักษาจนกระท่ังรู้สึกตัว
ป้องกันการตกเตียง จากอาการมึนงง สับสน
ถ้ามีอาการผิดปกติต่าง ๆ ให้รายงานแพทย
หมายเหตุ ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าแบบ Unmodified ECT
จะต้องมีคนช่วยจับ ป้องกันกระดูกหักและเคลื่อนในตำแหน่งต่าง ๆ ที่ส่วนบนและ
ล่างข้างซ้ายและขวารวมเป็นข้างละ 2 คน ลักษณะการจับจะเป็นแบบประคับประคอง (Support) ตามหัวไหล่ ข้อสะโพก ข้อมือ ข้อเท้า
เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านสมองจะเกิดลักษณะการชักและมีระยะต่าง ๆ ตามขั้นตอน ดังนี้
ระยะที่ 1 Unconscious ผู้ป่วยจะหมดสติประมาณ 1 –2 วินาที
ระยะที่ 2 Tonic stage ผู้ป่วยจะชักเกร็งประมาณ 20 วินาที
ระยะที่ 3 Clonic stage ผู้ป่วยจะชักกระตุกประมาณ 15 – 30 นาที
ระยะท่ี 4 Sleep stage ผู้ป่วยจะหลับประมาณ 5 นาที
ระยะที่ 5 Confused stage ผู้ป่วยจะตื่นมางง ๆ ประมาณ 30 นาที
การพยาบาลภายหลังการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า ( Electroconvulsive therapy: ECT)
จัดท่านอนราบ/ตะแคงระวังการสาลักเสมหะ วัดสัญญาณชีพ( vital signs ) หากมี อาการผิดปกติควรรายงานแพทย์และป้องกันอุบัติเหตุ ถ้ารู้สึกตัวให้นอนหนุนหมอนได้
ดูแลความสุขสบาย เช็ดเหงื่อบริเวณหน้าและคอ เรียกช่ือผู้ป่วย เพื่อให้รู้สึกสบาย ขึ้นและลดอาการมึนงงสับสนและนาผู้ป่วยกลับหอผู้ป่วย เมื่อมีการรับรู้และการทรงตัวดี และคอยให้ การช่วยเหลือต่อไปจนกว่าจะสามารถเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมบำบัดได้ตามปกติ (ปกติจะให้เข้ากลุ่ม ในช่วงบ่าย)
สังเกตอาการแทรกซ้อน เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือสับสน ถ้ามี อาการมากให้รายงานแพทย์
สังเกตพฤติกรรม และอาการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบุคลิกภาพว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร สนับสนุนให้มีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมในสภาพท่ีเป็นจริง ฟื้นฟูความจำให้ใหม่ โดย Reorientation และ Re - education ลดความวิตกกังวล อธิบายให้ทราบว่าอาการมึนงง สับสนจะ ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติภายใน 3 – 6 สัปดาห์ บันทึกอาการของผู้ป่วยหลังได้รับการรักษาทุกคร้ังและ รายงานแพทย์ให้ทราบในกรณีท่ีมีปัญหา
แนวคิด
เริ่มนามาใช้ในการรักษาการเจ็บป่วยทางจิตเมื่อคริสศักราช 1938 (พ.ศ. 2481) โดยจิตแพทย์ชาว อิตาเลี่ยน 2 ท่าน คือ นายแพทย์ Ugo cerletti และนายแพทย์ Lucio Bini ใช้รักษาผู้ป่วยโรคจิตเภท และได้มีการศึกษาวิจัย พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนพบว่าการกระตุ้นให้เกิดอาการชัก มีประสิทธิภาพสูงใน การรักษาทางจิตด้านอารมณ์ (mood disorders) และได้รับความนิยมใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้ารุนแรง (severe major depression)โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (bipolar disorder) และโรคจิตเภท (schizophrenia) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา และการรักษาอื่นๆให้อาการทางจิตดีขึ้นใน ระยะเวลาอันสั้น
ประเทศไทยได้ถูกนามาใช้ปี พ.ศ.2488 โดยศาสตราจารย์นายแพทย์อรุณ ภาคสุวรรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เป็นผู้นำมาใช้ครั้งแรก ปัจจุบันได้นำมาใช้ในโรงพยาบาลจิตเวช และโรงพยาบาลที่มีจิตแพทย์ประจำ และพยาบาลผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลพยาบาลจึงควรมีความรู้ในการดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น
การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy: ECT)
หมายถึง การรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นการทางานของสมอง ทั้งระบบพาราซิมพา เทติก (parasympathetic) และซิมพาเทติก (sympathetic) ด้วยกระแสฟ้าสลับ 70 - 150 โวลล์ (volts) ผ่านแผ่นอิเลคโทรด (electrodes) เข้าสู่สมองของผู้ป่วยทาให้เกิดการชักแบบ grand-mal srizure (generalized) คือ การชักเกร็งแบบท้ังตัว ประมาณ 30 - 60 วินาที เมื่อชักจะมีการกระตุ้น สมองมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชีวเคมีในสมอง ทำให้เกิดการปรับสมดุลของสารสื่อประสาท (neurotransmitters) อีกทั้งยังกระตุ้นระบบประสาท sympathetic surge มีผลต่อการทางานของ ร่างกายทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูงข้ึน และrate-pressure product (heart rate x systolic blood pressure) เพิ่มขึ้น หลังการชักส้ินสุด หัวใจค่อยๆเต้นช้าลง และความดันเลือดลดลง จากผลของ parasympathetic surge และในช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว จะมี sympathetic surge เกิดช่วงสั้นๆ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้เลือดและสารอาหารไปเลี้ยงสมอง และส่วนต่างๆของร่างกายมากข้ึนจากนั้นร่างกายจึงกลับสู่ภาวะปกติ
การรักษาชนิดน้ีจึงนิยมนำมาใช้ในการรักษา ผู้ป่วยที่กลับมาเป็นโรคซึมเศร้าซำ้(recurrent depressions) ผู้ป่วยหลงผิด(delusions) ผู้ป่วยที่มีความคิดฆ่าตัวตาย (suicidal ideation) และผู้ป่วยท่ีไม่ตอบสนองต่อการบาบัดรักษาด้วยยา โดยไม่ส่งผล ต่อโครงสร้างทางกายวิภาคกระทำได้โดยการใช้เครื่องECT ที่ปัจจุบันใช้เครื่องมือเป็นเครื่องใช้ที่ให้ คลื่นไฟฟ้าแบบ Brief PulseWaveมีความปลอดภัยและให้ประสิทธิภาพในการใช้งานดีกว่าแบบ Sine – wave Stimulator คือ แบบ Brief Pulse Wave ใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่าถึง 3 เท่า ให้กระแสไฟฟ้าสั้นๆไม่ต่อเนื่อง หลังการรักษาด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยจะสับสน และสูญเสียความทรงจำน้อยกว่า ความทรงจาจะกลับคืนมาได้เร็วกว่าอีกท้ังยังการติดตามEEG และEKG monitor อยู่ด้วยซึ่ง สามารถตรวจคลื่นสมอง และการทำงานของหัวใจในระหว่างทำ และหลังทำการรักษาได้
การวางแผ่นอิเลคโทรด (electrode) เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ สามารถวางได้ 2 แบบ คือ
Bilateral ECT โดยวางแผ่นอิเลคโทรดบริเวณตำแหน่ง temporal area ของ ศีรษะทั้งสองข้าง
Unilateral ECT โดยการวางแผ่นอิเลคโทรดทั้ง 2 แผ่น บนศีรษะข้างเดียวกันกับมือ ที่ถนัดเช่นคนที่ถนัดมือขวาให้วางตำแหน่งอิเลคโทรดท่ีด้านขวาในตำแหน่งLancaster position การวางแผ่นอิเลคโทรดแบบนี้มีข้อดีคือ สูญเสียความทรงจำน้อยกว่า ฟื้นจาก ECT ได้เร็วกว่า แต่ ประสิทธิภาพน้อยกว่า Bilateral