Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผดุงครรภ์ - Coggle Diagram
ผดุงครรภ์
2.การคลอดปกติ
ชนิดของการคลอด
การคลอดปกติ
spontaneous labour
เวลาคลอดทั้งหมดไม่เกิน 24 ชม.
vertex presentation
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นในระยะคลอด
อายุครรภ์ครบกำหนด (38-42 สัปดาห์)
การคลอดผิดปกติ หรือการคลอดยาก
การคลอดที่สิ้นสุดลงโดยต้องได้รับการช่วยเหลือ หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการคลอด
ความหมาย
การคลอด :
กระบวนการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเพื่อขับทารก รก เยื่อหุ้มทารก และน้ำคร่ำที่อยู่ภายในโพรงมดลูกผ่านช่องครอดออกสู่ภายนอก
อาการเจ็บครรภ์
เจ็บครรภ์จริง
4.มีมูกเลือดปนออกจากช่องคลอด
5.ปากมดลูกนุ่ม เปิดและขยายบางลง
3.การเจ็บรุนแรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
6.จะเจ็บมากเมื่อเดิน
2.เริ่มเจ็บบริเวณหลังส่วนล่างหรือบั้นเอวแล้วร้าวไปหน้าท้อง ส่วนบนบริเวณยอดมดลูก
7.ไม่สามารถใช้เทคนิคผ่อนคลาย หรือยานอนหลับช่วยให้หายเจ็บได้เด็ดขาด
8.มีผลต่อการเคลื่อนต่ำของรก
1.มดลูกหดตัวรัดทุก 10-15 นาที จากนั้นจะหดตัวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เจ็บครรภ์เตือน
4.ไม่มีมูกเลือดออกจากช่องคลอด
5.ไม่มีการเปิดขยายของปากมดลูกอาจนุ่ม
3.การเจ็บไม่รุนแรง
6.การเจ็บหายเมื่อเดินหรือเปลี่ยนท่า
2.เริ่มเจ็บบริเวณหน้าท้อง และเจ็บอยู่เฉพาะหน้าท้องเท่านั้น
7.บรรเทาได้ด้วยเทคนิคการผ่อนคลายและการนอนหลับ
8.ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทารก
1.มดลูกเริ่มหดรัดตัวน้อย และระยะห่างมากไม่สม่ำเสมอ
องค์ประกอบของการคลอด
3.ช่องทางคลอด
ช่องทางส่วนที่เป็นกระดูก
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน pelvic inlet, mid pelvisและ pelvic outlet
ช่องทางคลอดส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อ
ประกอบด้วยมดลูกส่วนล่าง ปากมดลูก ช่องคลอด กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและฝีเย็บ
4.ท่าของผู้คลอด
ท่ายืน ท่านั่งยองๆ จะทำให้การหดรัดตัวของมดลูก การออแรงเบ่งและการเคลื่อนต่ำของทารกดี
2.สิ่งที่คลอดออกมา
ได้แก่ ทารก เนื่องจากขนาด รูปร่าง และลักษณะของทารกต้องเหมาะสมกับช่องทางคลอด
5.ภาวะร่างกาย
ที่มีอาการอ่อนเพลีย หมดแรงจะมีแรงเบ่งน้อย ทำให้การคลอดล่าช้าได้จะทำให้
1.แรงผลักดัน
primary power :
การหดรัดตัวของมดลูก
secindary power
: แรงเบ่งคลอด
6.ภาวะจิตใจ
มีความวิตกกังวล ความเครียด ความกลัวต่างๆ จะทำให้มดลูกหดรัดตัวผิดปกติ มีแรงเบ่งน้อย เป็นสาเหตุให้เกิดการคลอดยาวนาน
การเจ็บครรภ์และการหดรัดตัวของมดลูก
Phase I "Uterine preparedness for labor"
ระยะเตรียมตัวเตรียมพร้อมสำหรับการเจ็บครรภ์
Phase II "Active labour"
ระยะหดรัดตัว
เกิดการเปิดของปากมดลูก
Phase 0 "Pregnancy prelude to parturition"
ระยะสงบ
ไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก
Phase III "Uterine involution and restored fertility"
ร
ะยะคืนสู่สภาพสงบ
พร้อมที่จะต้งครรภ์ต่อไป
3.การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
Clinical assessment
วิธีการตรวจทางคลีนิค
1.การซักประวัติ
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดในอดีต
ประวัติครอบครัว
ประวัติการใช้ยาและแพ้ยา
ประวัติส่วนตัว
2.ชั่งน้ำหนักมารดา
ก่อนท้อง BMI ปกติ 19.8-26.0
ไตรมาส2 และ 3
0.44 kg
ตลอดการครอด
11.5-16kg
ไตรมาสแรก
เพิ่ม 1.6 kg
ก่อนท้อง BMI < 19.8
ไตรมาสแรก
เพิ่ม 2.3 kg
ไตรมาส2 และ 3
0.49 kg
ตลอดการครอด
12.5-18 kg
ก่อนท้อง BMI > 26.9
ไตรมาสแรก
เพิ่ม 0.9 kg
ไตรมาส2 และ 3
0.3 kg
ตลอดการครอด
7-11.5 kg
ครรภ์แฝด
ไตรมาสแรก
เพิ่ม 1.6 kg
ไตรมาส2 และ 3
0.75 kg
ตลอดการครอด
16-20.5 kg
3.การวัดระดับยอดมดลูก
3.2 MC Donald
อายุครรภ์ (wsk) : ความสูงมดลูก (ซม) x 8/7 หรือ อายุครรภ์ (เดือน) : ความสูงมดลูก (ซม) x 2/7
ถ้าค่าที่ได้ >/< ที่คำนวณได้ 3 ซฒ. =
ผิดปกติ
3.1 การคลำความสูงยอดมดลูก
24 wsk : 1/4 > สะดือ
28 wsk : 2/4 (-) >หัวหน่าว
20 wsk : สะดือ
32 wsk : (+) > หัวหน่าว
16 wsk : 2/3 > หัวหน่าว
36 wsk : 3/4 > สะดือ
12 wsk : 1/3 > หัวหน่าว
38-40 wsk : 3/4 (-) > สะดือ ครรภ์แรกจากท้องลด
38-40 wsk : 3/4 (+) > สะดือ กรณีหลังท้อง
**4.Fetal heart rate : FHR
(ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจทารก)
5.Fetal movent count : FMC
(การตรวจนับจำนวนทารกในครรภ์ดิ้น)
5.1 Cardif count to ten
นับการดิ้นต่อเนื่องจนครบ 10 ครั้งใน 4 ชม.
เริ่มนับเมื่อครรภ์ 32 wsk
5.2 Sadovsky
ผลรวม 3 เวลา >= 10 ครั้ง
แปลผล : สุขภาพทารกปกติ
นับวันละ 3 ครั้งๆละ 1 ชม. pc tid
Biochemical messurement
การประเมินชีวเคมี
2.Chorionic villus samping : CVS
(ดูดเนื้อเยื่อรกเพื่อหาโครโมโซม)
2.1 Transcervical Chorionic villus samping
ทำเมื่ออายุครรภ์ 10-14 wks
2.2 Transabdominal Chorionic villus samping
3.Fetal blood sampling
(เก็บตัวอย่างเลือดทารกในครรภ์)
ไม่นิยมทำ
ภาวะทารกบวมน้ำ (hydrops fetalis)
การติดเชื้อไวรัส
ตรวจ Thalassemia
1.Maternal serum alpha-fetoprotein screening : MSAFP
(คัดกรองจากเลือดมารดา)
เมื่ออายุครรภ์ 15 wks
ค่าปกติ AFP = 2.5 MOM (moltiple ofmedian) ถ้า > 2.5 เสี่ยงมีท่อประสาทเปิด (neural tube defect)
4.ตรวจระดับ Estriol ในเลือด และปัสสาวะจากมารดา
การแปลผล
E3 อยู่ในช่วง 2SD ของแต่ละ wks.= ไม่อาจรับประกันว่าทารกปกติ(ressuring)
E3 อยู่ต่ำกว่าช่วง 2SD ของแต่ละ wks.= ไม่อาจรับประกันว่าทารกปกติ (nonressuring)
ผลทางบวกจากปัจจัยกระตุ้น
ใช้ยาปฏิชีวนะ
ใช้ยาสเตียรอยด์
ระดับ E3 จะเพิ่มความเร็วในอายุครรภ์ 35-36 wks. สูงคงที่ 40 wks.
ตรวจได้ตั้งแต่ 28-32 wks. เป็นต้นไป
5.การตรวจ Human placenta lactogen
เริ่มสร้างในสัปดาห์ที่ 3 หลังการตกไข่
ระดับจะสูงสุดเมื่อ GA 36-37 wks.
6.การเจาะน้ำคร่ำ
6.2 Lung maturity test
(ทดสอบความสมบูรณ์ของปอดทารกในครรภ์)
เมื่ออายุครรภ์ 36-37 wks ,เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะ respiratory distress syndrome (RDS)
6.2.2 Shake / Foam stability index
ตรวจพบหลอดทดลอง 3 ใน 5 หลอดมีฟองอากาศ
6.2.3 การตรวจหาสาร Phophatidylglycerol
ค่า PG ในน้ำคร่ำ > ร้อยละ 9-10 ของสารตึงผิว
6.2.1 การวัดอัตราส่วนของ Lecithin/Sphingomyelin
ต้อง >/= 2:1 แสดงว่าปอดทารกสมบูรณ์
การพยาบาลหลังเจาะน้ำคร่ำ
ให้นอนพัก 15-30 นาที
สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง เลือดออก
6.1 ตรวจโครโมโซมเพื่อประเมินกลุ่มดาวน์
เมื่ออายุครรภ์ 15-18 wks
ฺBiophysical assessment
วิธีการตรวจทางชีวฟิสิกส์
ศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
1.Baseline fetal heart sound
Tachycardia > 160 bpm
Bradycardia < 110 bpm
เฉลี่ย 110-160 bpm. ใน 10 นาที
2.Variability:อัตราการเต้นของหัวใจทารกที่เปลี่ยนแปลง
Minimal : เปลี่ยน 0-5 bpm
Moderate : เปลี่ยน 6-25 bpm (ปกติ)
Absent : ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของ amplitude
Marked : เปลี่ยน > 25 bpm
3.Acceleration : การเพิ่มขึ้นของ FHS
มากกว่า= 32 wks. FHS สูงจาก baseline > 10 bpm ใน 10 วินาที (ปกติ)
น้อยกว่า= 32 wks. FHS สูงจาก baseline > 15 bpm ใน 15 วินาที
4.Deceleration : การลดลงของ FHR
ระยะตั้งครรภ์(Antepartum)
1.1 Non stress test : NST
ดูอัตราการเต้นหัวใจทารกเมื่อเคลื่อนไหว
การแปลผล
Suspicious (ทารกอาจผิดปกติ)
มีการเพิ่มของ FHS < 2 ครั้ง / อัตราเพิ่มขึ้น < 15 bpm.
อยู่สั้นกว่า 15 วินาที
เมื่อทารกเคลื่อนไหว
ทดสอบซ้ำใน 24-48 ชม.
Reactive (ปกติ)
Preg. < 32 wks, FHR เพิ่มขึ้น > 10 bpm. นาน 10 วินาที เมื่อทารกเคลื่อนไหวอย่างน้อย 2 ครั้งใน 20 นาที Baseline ระหว่าง 110-160 bpm
Preg. >= 32 wks. FHR เพิ่มขึ้น > 15 bpm. นาน 15 วินาที เมื่อทารกเคลื่อนไหวอย่างน้อย 2 ครั้งใน 20 นาที Baseline ระหว่าง 110-160 bpm
Non-reactive (ผิดปกติ)
ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของ FHS เมื่อทารกเคลื่อนไหวภายใน 40 วินาที
Baseline variability ลดลงหรือหายไป
สาเหตุ
ทารกหลับนาน 20-75 นาที ให้กระตุ้นด้วย fetal acoustic
stimulator และบันทึกต่อไปอีก 20 นาที
ทารกอายุครรภ์น้อยจากประสาทส่วนกลางยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
Uninterpretable (อ่านผลไม่ได้)
ทดสอบซ้ำใน 24 ชม. หรือตรวจด้วยวิธีอื่น
ข้อบ่งชี้การทำ NST
ทรกดิ้นน้อย
ตั้งครรภ์เกินกำหนด
ทารกโตช้าในครรร์
มีภาวะแทรกซ้อนร่วมการตั้งครรภ์
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ตั้งครรภ์แฝด
มีภาวะ Rh isoimmunization
อายุ > 35 ปี
มีประวัติทารกตายในครรภ์
การพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพ
อธิบายเหตุผลและขั้นตอนการทำ NST
ให้ถ่ายปัสสาวะก่อนตรวจ
นอนทศีรษะสูง 30 องศา / นอนตะแคง
ตรวจหาหลังเด็กด้วย Leopold maneuver คาดสายรัดหน้าท้องโดยให้หัว ultrasonic transducer วางตำแหน่งที่ฟังเสียงหัวใจทารกได้ชัดเจน
แนะนำกตปุ่ม fetal movement marker เมื่อรู้สึกว่าทารกตื้น /เคลื่อนไหว
กรณีต้องประเมินการหดรัดต้วมคลูก ให้คาดหนท้องบเวณยอดมดลูกด้วย toco transduce เพื่อบันทีกระยะเวลา ความถี่ห่างและความรุนแรงของการหดรัดตัว
8.เปิดเครื่องบันทึกการเต้นหัวใจลงกราฟนาน 20 นาที
ถ้าทารกไม่ดิ้น ให้กระตุ้นด้วย fetal acoustic stimulator
1.2 Contraction stress test : CST ดูการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นหัวใจทารก เมือมดลูกหดรัดตัว
ข้อห้ามในการตรวจ
มีประวัติผ่าคลอด
มีประวัติเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
มีครรภ์แฝด
มดลูกรูปร่างผิดปกติ/รกเกาะต่ำ/ถุงนำคร่ำแตกก่อนกำหนด
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพ
2.อธิบายเหตุผลและขั้นตอนการตรวจ
3.จัดท่า semi-fowler position เพื่อป้องกัน supine hypotensive syndrome
4.เตรียมให้ oxytocin 5 ยูนิต ในน้ำเกลือ 500 ml อัตรา 5-10 หยด/นาที จนมดลูกหดรัดตัว 3 ครั้ง ใน 10 นาที นานครั้งละ 40-60 วินาที อาจให้การกระตุ้นหัวนม (nipple stimulation)
5.ประเมิน FHR เมื่อมดลูกหครัดตัวและรายงานผลการตรวจให้แพทย์ทราบ
6.หลังการตรวจ ติดตามการหดรัดตัวมดลูกทุก 10 นาทีเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
การแปลผล
Unsatisfactory
ไม่สามารถอ่านผล FHR ได้ มดลูกหดรัดตัว < 3 ครั้ง ใน10นาที
Negative (สุขภาพดี)
มดลูกหดรัดตัว 3 ครั้งใน 10 นาที โดยไม่มี late deceleration
Positive (เริ่มไม่ค่อยดี)
มี late deceleration
Suspicious
มี late deceleration แต่ไม่เกิดขึ้นทุกครั้ง
1.3 Fetal biophysical profile : BPP ตรวจโดย ultrasound ไม่ค่อยใช้
1.3.1 การหายใจของทารก (fetal breathing movement : FBM)
1.3.2 การเคลื่อนไหวของทารกทั้งร่างกาย(gross body movement : FM)
1.3.3 กำลังกล้ามเนื้อของทารก (fetal tone : FT)
1.3.4 การที่หัวใจทารกตอบสนองเมื่อทารกเคลื่อนไหว(reactive fetal heart sound : FHS)
1.3.5 ปริมาณน้ำคร่ำ(amniotic fluid volume)
2.ระยะคลอด
2.2 Internal fetal monitoring (IFM)
2.1 External fetal monitoring (EFM)
การอ่านผล
1.การ identify ชื่อผู้ป่วย วันที่และเวลา
2.ดูลักษณะ FHR &
Uterine contraction
-Variability
-FHR baseline
-Deceleration
-Acceleration
Late deceleration
FHR ค่อยๆลดลงและกลับสู่Baseline ปกติ ไม่สัมพันธ์กับการหตรัดตัวเกิดตามหลังการหตรัดตัวที่สูงที่สุดพบใน Utero-placental insufficiency
Variable deceleration
FHR ลดลงต่ำกว่า baseline > 15 bpm นานกว่า 15 วินาทีแต่น้อยกว่า 2 นาที onset / ความลึก / ระยะเวลา ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวเกิตจากสายสะตือของทารกถูกกต(cord compression
Early deceleration
FHR ค่อยๆลตลงและกลับสู่ Baseline ปกติ สัมพันธ์กับการหดรัดตัว
1.ระยะตั้งครรภ์
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
การตรวจร่างกายและการตรวจภายใน
การเปลี่ยนแปลงที่เต้านม
ใหญ่และตึงขึ้นรอบเต้านมมีสัีคล้ำ
การเปลี่ยนแปลงที่อวัยวะสืบพันธ์
มีสีคล้ำ ปากมดลูกนุ่มเหมือนริมฝีปาก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เพื่อตรวจหาฮอร์โมน HCG
1.การตรวจปัสสาวะ
ใช้ปัสสาวะตื่นนอนครั้งแรก ระดับฮอร์โมนจะพบได้สูง
2.การตรวจเลือด
พบได้เร็วกว่าปัสสาวะ
การซักประวัติ
1.การขาดระดู
ประวัติระดูครั้งสุดท้าย ประวัติการมีเพศสัมพันธ์
2.อาการการตั้งครรภ์
คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย รู้สึกเด็กดิ้น ครรภ์แรกประมาณ 18-20 สัปดาห์ ครรภ์หลังประมาณ 16-18 สัปดาห์
อาการและอาการแสดงของการตั้งครรภ์
3.Presumptive signs
(อาจจะมีการตั้งครรภ์) แพ้ท้อง ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลัย รู้สึกว่าเด็กดิ้น การขาดประจำเดือน
2.Probable signs
(น่าจะมีการตั้งครรภ์) ปัสสาวะได้ผลบวก มดลูกโตขึ้น คลำมดลูกทางหน้าท้องได้ มี Goodlel's sign Ballottement คลำได้ขอบเขตของทารก มี Braxton hicks contraction
1.Positive signs
(การตั้งครรภ์อย่างแน่นอน) พบการเต้นของหัวใจทารก พบการเคลื่อนไหวของเด็ก ตรวจครรภ์ได้จากการ U/S X-Ray
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตสังคมของการตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
ทางเดินปัสสาวะ :
อาจติดเชื้อปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย
ต่อมไร้ท่อ :
เพิ่มปริมาณฮอร์โมนต่างๆ
ทางเดินอาหาร :
คลื่นไส้ ท้องผูก
กล้ามเนื้อ กระดูก และผิวหนัง :
ปวดหลัง มี hyperpigmentation,Choasma Gravidarum
อวัยวะสืบพันธ์ :
มดลูกอ่อนนุ่มลง รูปร่างลูกแพร เต้านมใหญ่ แข็งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคม
ไตรมาสที่ 2
ยอมรับการตั้งครรภ์ อารมณ์คงที่มากขึ้น
ไตรมาสที่ 3
วิตกกังวล เนื่องจากอายุครรภ์มากขึ้น ความไม่สุขสบายของร่างกายมากขึ้น
ไตรมาสที่ 1
เกิดความรู้สึกขัดแย้ง ลังเลใจ
4.การพยาบาลระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคม
พันธกิจในระยะหลังคลอด
3.การตอบสนองของบุตรต่อการดูแล
4.ความคิดเห็นจากบุคคลใกล้ชิดและบุคลากรทางสุขภาพ
2.การปรับตัวในการดูแลบุตร
5.การกาหนดตาแหน่งสมาชิกในครอบครัวให้บุตรคนใหม่
1.การยอมรับบุตร
ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับตัวของมารดา
สัมพันธภาพระหว่างคู่สมรส
ภาวะสุขภาพของมารดา
ระดับการศึกษาและรายได้ครอบครัว
ภาวะสุขภาพของบุตร
อายุ
ด้านครอบครัวสังคมและสิ่งแวดล้อม
การปรับตัวกับบทบาทมารดา
ระยะที่ 3 letting go phase
ระยะที่สามีและภรรยาต้องพึ่งพากันภายหลัง 10 วันหลังคลอด
ระยะที่ 2 taking hold phase
ระยะมารดาช่วยเหลือตัวเองได้ช่วง 3-10 วันหลังคลอด
ระยะที่ 1 taking in phase
ระยะพึ่งพาเกิดในระยะ 1-2 วันแรกหลังคลอด
การเลี่ยนแปลงทางกายวิภาคและสรีรวิทยา
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
มดลูก
หลัง 24 ชม
: มดลูกลอยเหนือสะตือเล็กน้อยเอียงไปทางขวา
วันที่ 10 หลังคลอด
: มดลูกอยู่ระดับหัวเหน่า
หลังคลอด
: ลดลงทันทีที่ทารกและรกคลอด มีก้อนแข็งอยู่ระดับสะตือหรือต่ำกว่าสะดือเล็กน้อย
มดลูกลงสู่อุ้งเชิงกราน วันละ 0.5-1 นิ้ว จนปกติ ="มดลูกเข้าอู่"
น้ำคาวปลา
Lochia serosa
: 4-9 วัน สีแตงจางๆหรือสีชมพู จนเป็นสีน้ำตาล มีเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เศษเชื่อบุมตลูก
Lochia alba
= 10-14 วัน เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว มีเม็ดเลือดขาว เมือก อาจมีเศษเยื่อบุมดลูก
Lochia rubra
: 1:3 วัน สิแดงเข้ม มีขี้เทา ไข และขนอ่อนบุตรปนด้วย
ปากมดลูก
หลังคลอด 1 สัปดาห์
= มีลักษณะแข็งกว้างประมาณ 1 cm
6 สัปดาห์หลังคลอด
: เหมือนรอยตะเข็บหรือรอยแตกด้านนอกไม่กลมเหมือนระยะก่อนคลอด
สามารถบอกให้ทราบว่าสตรีรายใดผ่านการคลอดมาแล้ว
หลังคลอดทันที
= มีลักษณะนุ่มมาก ไม่เป็นรูปร่าง ทั้ง Internal และ External os
เต้านม
หลั่ง H.Polactin
กระตุ้นเซลล์ผลิตน้ำนม
สร้างน้ำนม
เกิดกลไก let down reflex หรือ milk ejection reflex
ช่องคลอด
หลังคลอด
: ช่องคลอดจะอ่อนนุ่มมาก
รอยย่นภายในลดน้อยลง เส้นผ่านศูนย์กลางจะกว้างกว่าระยะก่อนคลอด
วิธีแก้ไข
: Kegel's exercise คือ
การออกกำลังกล้ามเนื้อของอุ้งเชิงกราน ที่เป็นส่วนควบคุมหูรุดของช่อง/ปากทวารเบา และปากช่องคลอดให้แข็งแรง กระชับ ซึ่งจะช่วยให้สามารถกลั้นปัสสาวะได้ดีขึ้น
ต่อมไร้ท่อต่างๆ
ฮอร์โมนต่างๆในร่างกายลดลงเพื่อปรับสมดุลร่างกายให้เป็นปกติ
การมีประจำเดือน
แม่ให้นมทารก
ทารกดูดนม
กระตุ้นต่อมไฮโปทาลามัส
เส้นประสาท/สมองกดไม่ให้หลั่ง FSH+LH
ไม่มีการตกไข่และไม่มีประจำเดือน
การเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ร่างกายปรับสมดุลโดยการกำจัดน้ำและเกลือโซเดียมเพื่อไม่ให้ความดันเพิ่ม
ระบบทางเดินอาหาร
อาจมีอาการท้องผูกเนื่องจากกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อน
มีความอยากเพิ่มขึ'นจากการสูญเสียพลังงานในการคลอด, NPO ,รับยาบรรเทาความปวดรวมทั้งการสูญเสียน้ำเลือดในระยะคลอดและหลังคลอดออกทางปัสสาวะเหงื่อและน้ำคาวปลา
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ส่วนประกอบของเลือดลงเพื่อปรับสมดุลในร่างกายให้ปกติ
เม็ดเลือดขาวสูง
มารดาอารมีไข้ได้หลังคลอดเนื่องจากการขาดน้ำและกลไกป้องกันการติดเชื้อ
ระบบผิวหนัง
มีฝ้าบนใบหน้า
สีลานนมเข้มขึ้น
ความหมาย
5.การดูแลทารกแรกเกิด
การตรวจร่างกายทารกแรกเกิด
อวัยวัสืบพันธุ์:
เพศชายอัณฑะลงมาอยู่ในถุงอัณฑะทั้ง 2 ข้างเพศหญิง labia majora ชิดกันทั้งสองข้าง
บริเวณทรวงอก :
อัตรา 40-60 ครั้ง/นาทีไม่สม่ำเสมอหายใจแบบ Cheyne-Stokes และหายใจหยุดเป็นพักๆ
ลักษณะทั่วไป :
ศีรษะโตเมื่อเทียบกับลําตัวน้ำหนักเฉลี่ย 3200gความยาว 50 cm. ขนาดรอบศรีษะ 33-35 cm. รอบทรวงอก 31 cm.ผิวหนังสีชมพู มี cutis marmorata, acrocyanosis,mongolian
ศรีษะและใบหน้ามี caput succedaneum ใบหน้า 2 ซีกจะเหมือนกันเยื3อบุตาใบหู milia, Epstein pearl คอสั้น ดูกล้ามเนื้อ sternomastoid คลํากระดูกไหปลาร้า
บริเวณท้อง :
ท้องอืดมีอาการหายใจลําบากดูสายสะดือและจํานวนของหลอดเลือดแดง Umbilical อาจคลําพบตับม้ามและไตได้ควรปัสสาวะภายใน 24 ชั่วโมง
ตรวจแขนขามือเท้า:
อาจพบเท้าปุกข้อสะโพกเคลื่อนหรือไม่ในรายที่คลอดยากความยาวของขาการเหมือนกันของ gluteal fold จํานวนนิ้วมือนิ้วเท้า ลายฝ่าเท้า 2ใน 3 ของฝ่าเท้า
สรีรวิทยาของเด็กแรกเกิด
ระบบโลหิต
: การแข็งตัวของเลือดยังทําหน้าที่ได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะสารที่ต้องพึ่งวิตามินเค
ระบบการหายใจ:
แรกเกิดภายในปอดมีของเหลวอยู่ต้องช่วยดูดสารคัดหลั่งออกเพื่อป้องกันการอุดตันทางเดินหายใจ ศูนย์การหายใจไวต่อการถูกกดทําให้เกิด apnea อัตราการหายใจ 30-40 ครั้ง/นาที
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ:
หลังคลอดไตจะทําหน้าที่ทันที ความสามารถในการดูดกลับสารพวกกลูโคสกรดอะมิโนฟอสเฟตและไบคาร์บอเนตกลับต่ำทําให้พบน้ำตาลและโปรตีนในปัสสาวะได้ระดับฮอร์โมนยับยั้งการถ่ายปัสสาวะน้อยร่างกายจึงเกิดภาวะขาดน้ำได้ง่าย
ระบบทางเดินอาหาร:
กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กจุอาหารได้น้อยกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารยังทําหน้าที่ไม่เต็มที่ ตับยังทําหน้าที่ไม่สมบูรณ์ ทําให้ทารกเกิดอาการตัวเหลืองได้ใน 2-3วันหลังคลอดเรียกว่าPhysiological jaundice
ระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมน:
ได้รับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจากมารดาลดลงทําให้ทารกเพศหญิงมีเลือดอกจากทางคลอดได้
ระบบภูมิคุ้มกัน:
ในทารกรแรกเกิดยังมีภูมิคุ้มกันในปริมาณน้อยและการทํางานยังไม่สมบูรณ์ต้องสร้างภูมิคุ้มกันโดยการให้วัคซีนก่อนที่ภูมิคุ้มกันโดยธรรมาชาติจะลดหายไป
ระบบควบคุมอุณหภูมิร่างกาย:
ทารกแรกเกิดสูญเสียความร้อนได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากพื้นที่ผิวกายเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักตัวมีมากกว่าผู้ใหญ่
ระบบประสาท:
Moro reflex, Tonic neck reflex, Placing reflex,stepping reflex, Rooting reflex, Landau reflex, Planter reflex,Palmar reflex , Babinski reflex
การดูแลทารกแรกเกิด
ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
ทันทีแรกเกิด position : ศีรษะต่ำ/ตะแคงหน้า ,suctionปากและจมูกให้ clear ,keep warm ,ป้องกันการติดเชื้อโดยแอลกอฮอล์ 70% เช็ดสะดือ 1%AgNo3 หยอดตา terramycinointment tetracycline ป้ายตา ,ป้องกันภาวะเลือดออกฉีก Vit K 1mg
ประเมิน Apgar score
คะแนน 8-10 : สภาพของทารกปกติด
คะแนน 5-7 : ขาดออกซิเจนเล็กน้อย
คะแนน 0-2 : ขาดออกซิเจนอย่างมากมีความเป็นกรดสูงไม่มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
คะแนน 3-4 : ขาดออกซิเจนในระดับปานกลาง
Link Title