Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การจัดบรรทัดฐาน (Normalization) - Coggle Diagram
การจัดบรรทัดฐาน (Normalization)
การจัดบรรทัดฐาน คือ การแสดงความถูกต้องชัดเจนของข้อมูล ความสัมพันธ์ และข้อบังคับต่าง ๆ ของข้อมูล
วิธีการที่ใช้
การออกแบบฐานข้อมูลแบบล่างสู่บน (bottom-up)
การจัดการบรรทัดฐานเป็นวิธีการจัดกลุ่มกับรีเลชัน
ประกอบไปด้วย
ลักษณะประจำ
ฐานข้อมูลมีการกำหนดในสคีมาแบบเชิงสัมพันธ์
เป็นวิธีการที่ช่วยผู้ออกแบบฐานข้อมูล
โดยการเรียงลำดับของการทดสอบรีเลชันที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
เพื่อที่สคีมาแบบเชิงสัมพันธ์จะถูกนำมาจัดบรรทัดฐานในรูปแบบที่กำหนด
ป้องกันการเกิดความผิดพลาดที่เกิดจากการปรับปรุงข้อมูล
ขั้นตอนของการจัดบรรทัดฐาน
1.รูปแบบบรรทัดฐานที่ 1 (first normal form (1NF))
มี 2 ขั้นตอน
1.กำจัดกลุ่มข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
2.กำหนดคีย์ให้กับรีเลชัน
คุณสมบัติของรูปแบบบรรทัดฐานที่ 1
1.ต้องมีการกำหนดลักษณะประจำที่ทำหน้าที่เป็นคีย์ของรีเลชั่น
2.ไม่มีลักษณะประจำ หรือกลุ่มลักษะที่มีค่ามากกว่า 1 ค่าที่มีการตัดกันระหว่างสดมภ์และแถว
3.ทุกๆลักษณะประจำ ใในรีเลชั่นต้องขึ้นกับลักษณะประจำที่กำหนดเป็นคีย์
2.รูปแบบบรรทัดฐานที่ 2 (second normal form (2NF))
การขึ้นต่อกันของฟังก์ชันแบบเต็ม (full Functional dependency)
การขึ้นต่อของฟังก์ชันแบบบางส่วน (partial Functional dependency)
คุณสมบัติของรูปแบบบรรทัดฐานที่ 2
1.รีเลชันนั้นต้องอยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานที่ 1
2.ในรีเลชันนั้นต้องไม่มีการขึ้นต่อกันของฟังก์ชันแบบบางส่วน และมีการขึ้นต่อกันของฟังก์ชันแบบเต็มส่วนเท่านั้น
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ความผิดพลาดที่เกิดจากการลบข้อมูล
ความผิดพลาดที่เกิดจากการเพิ่มข้อมูล
ความผิดพลาดที่เกิดจากการแก้ไขข้อมูล
3.รูปแบบบรรทัดฐานที่ 3 (third normal form(3NF))
จะเป็นการขึ้นต่อกันของฟังก์ชันแบบทรานซิทีฟ (transitive functional dependency)
คุณสมบัติของณุปแบบบรรทัดฐานที่ 3
1.รีเลชันต้องอยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานที่ 2
2.ลักษณะประจำที่ไม่ใช่คีย์ของรีเลชันนั้นต้องไม่สามารถกำหนดลักษณะประจำที่ไม่ใช่คีย์ตัวอื่นที่อยู่ในรีเลชันเดียวกันได้
ปัญหาที่เกิดขึ้น
การซ้ำซ้อนของข้อมูล
การผิดพลาดของข้อมูล
4.รูปแบบบรรทัดฐานที่ บี ซี เอ็น เอฟ
อยู่บนพื้นฐานของการขึ้นต่อกันของฟังก์ชัน
ไม่มีการกำหนดค่าคุณสมบัติว่าต้องอยู่ในบรรทัดฐานที่ 1,2,3มาก่อน
5.รูปแบบบรรทัดฐานที่ 4 (fourth normal form(4NF))
จะเป็นรีเลชันที่อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานที่ บี ซี เอ็น เอฟ แะไม่มีการขึ้นต่อกันของข้อมูลแบบหลายค่า
6.รูปแบบบรรทัดฐานที่ 5 (fifth normal form(5NF))
คือรีเลชันที่ไม่มีการขึ้นต่อกันแบบร่วมกัน
รูปแบบบรรทัดฐานแบบโปรเจ็กค์ จอย (project-join normal form (PJNF))
เมื่อทำการแตกรีเลชันออกมาเป็นรีเลชันย่อยแล้ว ต้องแน่ใจว่าไม่มีข้อมูลแปลกปลอมมา ทุกๆค่าข้อมูลของรีเลชั่นย่อยที่แจกออกมา จะต้องมีข้อมูลอยู่ครบถ้วนเหมือนรีเลชันที่ก่อนทำการแตก
ความซ้ำซ้อนและความผิดพลาดที่เกิดจากการแก้ไข
วัตถุประสงค์หลักของการออกแบบฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์
คือการจัดกลุ่มลักษณะประจำภายในรีเลชัน
เพื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
ช่วยลดเนื้อหาที่ใช่ในการจัดเก็บข้อมูล
สามารถแบ่งความผิดพลาดที่เกิดจากการแก้ไขข้อมูลเป็นดังนี้
1.ความผิดพลาดที่เกิดจากการเพิ่มข้อมูล
2.ความผิดพลาดที่เกิดจากการลบข้อมูล
3.ความผิดพลาดที่เกิดจากการแก้ไขข้อมูล
การขึ้นต่อกันของข้อมูล
เป็นข้อกำหนดเงื่อนไขที่ไม่สามารถทำการตรวจสอบได้เมื่อทำการสร้างสคีมาแบบเชิงสัมพันธ์ด้วยคำสั่ง CREATE TABLE
การขึ้นต่อกันของข้อมูลแบ่งได้เป็น 3 แบบ
การขึ้นต่อกันของข้อมูลแบบฟังก์ชัน (functional dependency)
การขึ้นต่อกันของข้อมูลแบบหลายค่า (multi-valued dependency)
การขึ้นต่อกันของข้อมูลแบบร่วม (join dependency)
1.การขึ้นต่อกันของฟังก์ชัน
คือการขึ้นต่อกันของฟังกืชันที่ใช้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะประจำ
2.กฎอ้างอิงของการขึ้นต่อกันของฟังก์ชัน
กฏของการสะท้อน
กฎของการเพิ่ม
กฎของการเปลี่ยน
กฎของการรวม
กฎของการแตก
กฎของส่วนประกอบ
กฎของการกำหนดตัวเอง