Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Normalization Concept - Coggle Diagram
Normalization Concept
รูปแบบบรรทัดฐาน
รูปแบบบรรทัดฐาน บีซีเอ็นเอฟ
(boyce-codd normal form(BCNF)
รูปแบบบรรทัดฐานที่ 5 Fifth Normal Form : 5NF
รูปแบบบรรทัดฐานที่ 4 (fourth normal form (4NF)
รูปแบบบรรทดฐานที่่ 3 (third normal form:3NF)
รูปแบบบรรทัดฐานที่3 นั้นอยู่บนพื้นฐาน
ของการขึ้นต่อกันของฟังก์ชั่นแบบทรานซิทีฟ
รูปแบบบรรทดฐานระดับ2 (Second Normal Form : 2NF)
รีเลชั่นใดๆ จะอยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 2 ก็ต่อเมื่อ รีเลชั่นนั้นๆ อยู่ในรูปแบบ
บรรทัดฐานระดับที่ 1 และแอททริบิวต์ทุกตัวที่ไม่ได้เป็นคีย์หลัก จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างค่าของแอททริบิวต์แบบฟังก์ชั่นกับคีย์หลัก (Fully Functional Dependency) ตัวอย่างรีเลชั่น ผู้ผลิต (รหัสผู้ผลิต, ชื่อผู้ผลิต, จังหวัด) จะเห็นว่าเมื่อทราบค่าแอททริบิวต์รหัสผู้ผลิตจะสามารถทราบค่าของแอททริบิวต์ตัวอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
รูปแบบบรรทดฐานระดับที่ 1 (First Normal Form : 1NF)
รูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 เป็นการปรับบรรทัดฐานระดับแรกสุด จะเป็นกระบวน การในการปรับตารางข้อมูลของผู้ใช้งานให้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 ซึ่งรีเลชั่น ใดๆ จะอยู่ใน รูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 ก็ต่อเมื่อ ค่าของแอททริบิวต์ต่างๆ ในแต่ละทูเพิลจะต้องมีค่าของข้อมูล
เพียงค่าเดียว
วัตถุประสงค์ของการจัดระบบข้อมูลในรูปแบบบรรทัดฐาน
เพื่อลดปัญหาข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
เนื่องจากข้อมูลในรีเลชั่นหนึ่งจะมีข้อมูลไม่ซ้ำกัน เมื่อมีการปรับปรุงข้อมูล
ก็จะปรับปรุง ทูเพิลนั้นๆครั้งเดียว ไม่ต้องปรับปรุงหลายที่ โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการปรับปรุงไม่ครบถ้วนก็จะไม่เกิดขึ้น
เพื่อลดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล
การทําให้เป็นบรรทัดฐานเป็นการลดความซ้ําซ้อนของข้อมูลในรีเลชั่น ซึ่งทําให้ลดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลได้
เป็นการลดปัญหาที่เกิดจากการเพิ่ม ปรับปรุงและลดข้อูล
ช่วยแก้ไขปัญหาที่่อาจเกิดขึ้นจากการปรับปรุงข้อมูลไม่ครบ หรือข้อมูลหายไปจากฐานข้อมูลหรือการเพิ่มข้อมูล
การทำงานแบบ Top-Down และ Bottom-Up
Top-Down เป็นการออกแบบการทำงาน ลักษณะการทำงาน รวมถึงเอกสาร เครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการทำงานจากผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ออกแบบ และจัดทำขึ้นมา ซึ่งข้อดีของการบริหารจัดการแบบนี้คือ กระบวนการทำงานได้จากประสบการณ์ทำงานของผู้บริหารระดับสูง มีการวางแผนป้องกันข้อผิดพลาดล่วงหน้า แต่ข้อเสียของการบริหารจัดการแบบนี้คือ หากระหว่างการทำงานมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะทำให้การทำงานไม่สอดคล้องกับนโยบาย หรือกระบวนการที่กำหนดไว้ การจะปรับปรุงกระบวนการใหม่ให้สอดคล้องกับการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปก็จะทำได้ช้า เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้บริหารระดับสุงก่อน
Bottom-Up เป็นการออกแบบการทำงาน ที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับ Top-Down กล่าวคือพนักงานจะเป็นผู้เสนอ กระบวนการทำงาน เครื่องมือหรือเอกสารที่ใช้ในการทำงาน รวมถึงการ Control ต่าง ๆ ขึ้นมาให้กับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งจะทำให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงาน แต่การทำงานแบบ Button-Up นั้นจะต้องมีการสื่อสารที่รวดเร็ว เม่นยำ ตลอดจนผู้บริหารจะต้องทำงานใกล้ชิดกับพนักงานเพื่อคอยปรับปรุงนโยบายการทำงานให้ทันสมัยอยู่เสมอ และการกระทำที่กระทบกับฝ่ายอื่น ๆ ก็จะต้องมีการสื่อสารอย่างต่อเป็นระบบด้วย
โดยทั่วไปองค์กร จะเริ่มการจัดวางแผนนโยบายต่าง ๆ จาก Top-Down ก่อนแล้วต่อไปก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้แบบ Bottom-Up กล่าวคือ เริ่มต้นนโยบายและกระบวนการทำงานต่าง ๆ จากผู้ริหารระดับสูงก่อน จากนั้นเมื่อนำไปใช้งานแล้วเกิดความไม่สอดคล้องหรือมีการ Control ที่ไม่เพียงพอ ก็เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถที่จะนำเสนอแนวทางการทำงานกลับมายังผู้บริหารระดับสูง เพื่อทำการตัดสินใจและอนุมัติการทำงานในรูปแบบใหม่ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการทำงานแบบ Bottom-Up ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการ ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้นนั้นเอง
กระบวนการปรับบรรทัดฐาน
โครงสร้างกระบวนการปรับบรรทัดฐาน
จากรูปแบบของรีเลชั่นที่ยังไม่ผ่านการปรับบรรทัดฐาน การจะทําให้เป็นรีเลชั่นที่อยู่ใน รูปแบบบรรทัดฐาน โดยผ่านกระบวนการปรับบรรทัดฐาน จะมีกระบวนการ อยู่ 5 ระดับ ได้แก่ การปรับรีเลชั่นให้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 ระดับที่ 2 ระดับที่ 3 รูปแบบบรรทัดฐานของ บอยส์คอดด์และรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 4 แต่ละระดับจะมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาของ รีเลชั่นที่แตกต่างกันออกไป ถ้ารีเลชั่นมีการผ่านกระบวนการปรับบรรทัดฐานในระดับที่สูงขึ้น ก็จะมี รูปแบบที่เป็นบรรทัดฐานมากขึ้น ปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ลดน้อยลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในการ ออกแบบฐานข้อมูลในเชิงธุรกิจ ซึ่งรูปแบบการปรับบรรทัดฐานระดับที่ 3 จะเป็นที่ต้องการมากที่สุด
ประโยชน์ของการปรับบรรทดฐาน
1) การปรับบรรทัดฐานเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นบรรทัดฐาน
2) ทําให้ทราบว่ารีเลชั่นที่ถูกออกแบบมานั้น อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานหรือไม่ และจะก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง และมีวิธีแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร
3.) เมื่อทําการปรับบรรทัดฐานรีเลชั่นที่มีปัญหาแล้ว รับประกันได้ว่ารีเลชั่นนั้นจะไม่มีปัญหาอีกหรือถ้ามีก็จะมีน้อยลง
ความซ้ำซ้อนข้อมูล และความผิดพลาดที่เกิดจากการแก้ไข
วัตถุประสงค์หลักของการออกแบบฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ คือ การจัดกลุ่มลักษณะประจำภายในรีเลชัน เพื่อลดความซ้ำ