Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การจัดระบบข้อมูลในรูปแบบบรรทัดฐาน, ผู้จัดทำ(งานเดี่ยว) 003,004,010,012…
การจัดระบบข้อมูลในรูปแบบบรรทัดฐาน
วัตถุประสงค์ของการจัดระบบข้อมูลในรูปแบบบรรทัดฐาน
เพื่อลดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล
การทําให้เป็นบรรทัดฐานเป็นการลดความซ้ําซ้อนของข้อมูลในรีเลชั่น ซึ่งทําให้ลดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลได้
เพื่อลดปัญหาที่ข้อมูลไม่ถูกต้อง
เนื่องจากข้อมูลในรีเลชั่นหนึ่งจะมีข้อมูลไม่ซ้ํากัน เมื่อมีการปรับปรุงข้อมูลก็จะปรับปรุง ทูเพิลนั้นๆ ครั้งเดียว ไม่ต้องปรับปรุงหลายแห่ง โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการปรับปรุงไม่
ครบถ้วนก็จะไม่เกิดขึ้น
เป็นการลดปัญหาที่เกิดจากการเพิ่ม ปรับปรุงและลบข้อมูล
ช่วยแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปรับปรุงข้อมูลไม่ครบ หรือข้อมูลหายไปจากฐานข้อมูลหรือการเพิ่มข้อมูล
กระบวนการปรับบรรทัดฐาน
ประโยชน์ของการปรับบรรทดฐาน
2) ทําให้ทราบว่ารีเลชั่นที่ถูกออกแบบมานั้น อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานหรือไม่ และจะก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง และมีวิธีแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร
3) เมื่อทําการปรับบรรทัดฐานรีเลชั่นที่มีปัญหาแล้ว รับประกันได้ว่ารีเลชั่นนั้นจะไม่มีปัญหาอีกหรือถ้ามีก็จะมีน้อยลง
1) การปรับบรรทัดฐานเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นบรรทัดฐาน
โครงสร้างกระบวนการปรับบรรทัดฐาน
จากรูปแบบของรีเลชั่นที่ยังไม่ผ่านการปรับบรรทัดฐาน การจะทําให้เป็นรีเลชั่นที่อยู่ใน รูปแบบบรรทัดฐาน โดยผ่านกระบวนการปรับบรรทัดฐาน จะมีกระบวนการ อยู่ 5 ระดับ ได้แก่ การปรับรีเลชั่นให้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 ระดับที่ 2 ระดับที่ 3 รูปแบบบรรทัดฐานของ บอยส์คอดด์และรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 4 แต่ละระดับจะมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาของ รีเลชั่นที่แตกต่างกันออกไป ถ้ารีเลชั่นมีการผ่านกระบวนการปรับบรรทัดฐานในระดับที่สูงขึ้น ก็จะมี รูปแบบที่เป็นบรรทัดฐานมากขึ้น ปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ลดน้อยลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในการ ออกแบบฐานข้อมูลในเชิงธุรกิจ ซึ่งรูปแบบการปรับบรรทัดฐานระดับที่ 3 จะเป็นที่ต้องการมากที่สุด
รูปแบบบรรทัดฐาน
รูปแบบบรรทดฐานระดับที่ 1 (First Normal Form : 1NF)
รูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 เป็นการปรับบรรทัดฐานระดับแรกสุด จะเป็นกระบวน การในการปรับตารางข้อมูลของผู้ใช้งานให้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 ซึ่งรีเลชั่น ใดๆ จะอยู่ใน รูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 1 ก็ต่อเมื่อ ค่าของแอททริบิวต์ต่างๆ ในแต่ละทูเพิลจะต้องมีค่าของข้อมูล
เพียงค่าเดียว
รีเลชั่นที่อยู่ในรูปแบบบรรทดฐานระดับที่ 1 ก็ต่อเมื่อรีเลชั่นนั้นไม่มีกลุ่มข้อมูลซ้ํา
หลักการแปลงเป็น 1NF
หากพบว่ามีกลุ่มข้อมูลซ้ํา ให้แยกข้อมูลออกให้เป็นเอกเทศเป็นแต่ละทูเพิล
กําหนดคีย์หลักให้กับรีเลชั่น
รูปแบบบรรทัดฐานระดับ2 (Second Normal Form : 2NF)
รีเลชั่นใดๆ จะอยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานระดับที่ 2 ก็ต่อเมื่อ รีเลชั่นนั้นๆ อยู่ในรูปแบบ
บรรทัดฐานระดับที่ 1 และแอททริบิวต์ทุกตัวที่ไม่ได้เป็นคีย์หลัก จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างค่าของแอททริบิวต์แบบฟังก์ชั่นกับคีย์หลัก (Fully Functional Dependency) ตัวอย่างรีเลชั่น ผู้ผลิต (รหัสผู้ผลิต, ชื่อผู้ผลิต, จังหวัด) จะเห็นว่าเมื่อทราบค่าแอททริบิวต์รหัสผู้ผลิตจะสามารถทราบค่าของแอททริบิวต์ตัวอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
รูปแบบบรรทดฐานที่่ 3 (Third normal form : 3NF)
รูปแบบบรรทัดฐานที่3 นั้นอยู่บนพื้นฐาน
ของการขึ้นต่อกันของฟังก์ชั่นแบบทรานซิทีฟ
การขึ้้นต่อกันของฟังก์ชันแบบทรานซิทีฟ
(transitive functional dependency)
การขึ้นต่อกันของฟังก์ชั่นแบบทรานซิทีฟ คือ ประเภทหนึ่งของการขึ้นต่อกันขอฟังก์ชั่น
คุณสมบัติของรูปแบบบรรทัดฐานที่3
สามารถกำหนดคุณสมบัติของลีเรชั่นที่อยู่ในรูปแบบบรรทัดที่ 3 ได้
1.รีเลชันนั้นต้องอยู่ในรูปแบบที่
2ลักษณะประจำที่ไม่ใช่คีย์ของลีเรชันนั้นต้องไม่สามารถกำหนดลักษณะประจำที่ไม่ใช่คีย์ตัวอื่นที่อยู่ในลีเรชันเดียวกันได้
รูปแบบบรรทัดฐาน บีซีเอ็น
เอฟ (boyce-codd normal form(BCNF)
อยู่บนพื้นฐานของการขึ้นต่อกันของฟังก์ชั่น ที่พิจารณาคีย์คู่แข่งที่อยู่ในรีเลชัน
รูปแบบบรรทัดฐาน บี ซี เอ็น เอฟ ไม่มีการกำหนดคุณสมบัติ ว่าต้องอยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานแบบที่ 1 , 2 หรือ 3 มาก่อน
โดยรูปแบบ บี ซี เอ็น เอฟ มีนิยามก้คือ รีเลชันใด ถ้าทุกๆตัวสามารถกำหนดค่า (derminant) สามารถเป็นคีย์คู่แข่งของรีเลชันได้
การทดสอบที่รีเลชันที่มีคุณสมบัติ
ในบรรทัดฐาน บี ซี เอ็น เอฟ
ต้องขึ้นตรงกับฟังก์ชั่น
เป็นลักษณะประจำ
กำหนดตัวกำหนดค่าที่สามารถเป็นคีย์ได้
รูปแบบบรรทัดฐานที่ 4 (fourth normal form (4NF)
ถึงแม้ว่ารีเลชั้นนั้นอยู่ในรูปแบบบัดทัดฐานที่ บีซีเอ็นเอฟ และไม่มีความผิดพลาดของข้อมูลจากการเกิดของฟังค์ชั่น แต่รีเลชั่นยังคงมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นต่อข้อมูล(multi-valued dependency)
รูปแบบบรรทัดฐานที่ 5 (Fifth Normal Form : 5NF)
Relation จะอยู่ในรูปแบบ 5 NF ก็ต่อเมื่อ
1.Relation นั้นต้องอยู่ในรูปแบบของ 4NF
2.ไม่มี Symmetric Constraint กล่าวคือ หากมีการแตกแยกของ Relation ออกเป็นย่อยๆ และเมื่อทำการเชื่อมโยง Relation ย่อยทั้งหมด จะไม่ก่อให้เกิดข้อมูล Relation เดิม
หากมีการแตกรีเลชั่นออกมาแล้วทำการ John รีเลชั่นย่อยใหม่หากไม่มีข้อมูลที่แตกต่างไปจากรีเลชั่นเดิมก็ สามารถแตกรีเลชั่นนั้นได้แต่ถ้าหากเป็นรีเลชั่นขนาดย่อยแล้วเกิดข้อมูลไม่เหมือนรีเลชั่นเดิมก็ไม่ควรแตกรีเลชั่นให้ถือว่ารีเลชั่นเดิมอยู่ใน 5์NF แล้ว
การทำงานแบบ Top-Down และ Bottom-Up
Top-Down เป็นการออกแบบการทำงาน ลักษณะการทำงาน รวมถึงเอกสาร เครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการทำงานจากผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ออกแบบ และจัดทำขึ้นมา ซึ่งข้อดีของการบริหารจัดการแบบนี้คือ กระบวนการทำงานได้จากประสบการณ์ทำงานของผู้บริหารระดับสูง มีการวางแผนป้องกันข้อผิดพลาดล่วงหน้า แต่ข้อเสียของการบริหารจัดการแบบนี้คือ หากระหว่างการทำงานมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะทำให้การทำงานไม่สอดคล้องกับนโยบาย หรือกระบวนการที่กำหนดไว้ การจะปรับปรุงกระบวนการใหม่ให้สอดคล้องกับการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปก็จะทำได้ช้า เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้บริหารระดับสุงก่อนtext
Bottom-Up เป็นการออกแบบการทำงาน ที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับ Top-Down กล่าวคือพนักงานจะเป็นผู้เสนอ กระบวนการทำงาน เครื่องมือหรือเอกสารที่ใช้ในการทำงาน รวมถึงการ Control ต่าง ๆ ขึ้นมาให้กับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งจะทำให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงาน แต่การทำงานแบบ Button-Up นั้นจะต้องมีการสื่อสารที่รวดเร็ว เม่นยำ ตลอดจนผู้บริหารจะต้องทำงานใกล้ชิดกับพนักงานเพื่อคอยปรับปรุงนโยบายการทำงานให้ทันสมัยอยู่เสมอ และการกระทำที่กระทบกับฝ่ายอื่น ๆ ก็จะต้องมีการสื่อสารอย่างต่อเป็นระบบด้วย
โดยทั่วไปองค์กร จะเริ่มการจัดวางแผนนโยบายต่าง ๆ จาก Top-Down ก่อนแล้วต่อไปก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้แบบ Bottom-Up กล่าวคือ เริ่มต้นนโยบายและกระบวนการทำงานต่าง ๆ จากผู้ริหารระดับสูงก่อน จากนั้นเมื่อนำไปใช้งานแล้วเกิดความไม่สอดคล้องหรือมีการ Control ที่ไม่เพียงพอ ก็เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถที่จะนำเสนอแนวทางการทำงานกลับมายังผู้บริหารระดับสูง เพื่อทำการตัดสินใจและอนุมัติการทำงานในรูปแบบใหม่ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการทำงานแบบ Bottom-Up ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการ ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้นนั้นเอง
ความซ้ำซ้อนข้อมูล และความผิดพลาดที่เกิดจากการแก้ไข
วัตถุประสงค์หลักของการออกแบบฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ คือ การจัดกลุ่มลักษณะประจำภายในรีเลชัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนข้อมูล และช่วยลดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล และช่วยลดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล
ผู้จัดทำ
(งานเดี่ยว) 003,004,010,012,015,016,017,021