Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สรุปเนื้อหา - Coggle Diagram
สรุปเนื้อหา
ระยะตั้งครรภ์และการคลอดปกติ
แบ่งเป็น
ระยะที่ 1
ระยะการเปิดขยายปากมดลูก เริ่มจากเจ็บครรภ์จริงจนปากมดลูกเปิดหมด คือ ปากมดลูกเปิด 10 cm
Active Phase (ระยะปากมดลูกเปิดเร็ว)
ระยะที่ปากมดลูกเปิดเร็วขึ้นอยู่ในช่วง 4-7 เซนติเมตร การเปิดของปากมดลูกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ความบางปากมดลูก 100 % , I = 2-5’ D = 40-60”
Moderate to Strong Intensity
ครรภ์แรกปากมดลูกมีการเปิดขยาย 1.2 cm/hr.
ครรภ์หลังปากมดลูกมีการเปิดขยาย 1.5 cm/hr.
Latent Phase (ระยะปากมดลูกเปิดช้า)
นับตั้งแต่เริ่มเจ็บครรภ์จริงหรือปากมดลูกเริ่มเปิดขยายถึง 3 เซนติเมตร
ความก้าวหน้าของการคลอดจะเป็นไปอย่างช้าๆ
ครรภ์แรกใช้เวลาประมาณ 7.3 - 8.6 ชั่วโมง
ครรภ์หลังใช้เวลา 4.1 - 5.3 1 ชั่วโมง
มดลูกหดรัดตัวสม่ำเสมอทุก I = 5’ D = 30-40” การหดรัดตัวยังไม่รุนแรง
สามารถคลำสัดส่วนทารกได้ (+,++)
รู้สึกไม่สุขสบาย มีอาการปวดเกรงท้องคล้ายปวดประจ าเดือน
Transitional Phase (ระยะเปลี่ยนผ่านเป็นระยะที่ปากมดลูกเปิด)
Bloody Show
Uterine Contraction รุนแรงขึ้นไม่สามารถคลำสัดส่วนทารกได้ชัดเจน (+++)
I = 1.5-2’ D = 60-90”
ผู้คลอดอาจมีความรู้สึกอยากเบ่ง เนื่องจากส่วนนำเคลื่อนลงต่ำ
Onset of True Labor → Full Dilatation
Effacement 100%
ครรภ์แรก ใช้เวลา ประมาณ 8-24 ชม เฉลี่ย 12 ชม
ครรภ์หลัง ใช้เวลา ประมาณ 4-12 ชม เฉลี่ย 6 ชม
ระยะที่ 2
ระยะเบ่ง เป็นระยะที่ทารถถูกขับออกมาภายนอก นับตั้งแต่ปากมดลูกเปิดหมดจนถึงทารถคลอด ออกมาทั้งตัว
ครรภ์แรก ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ครรภ์หลัง ใช้เวลาประมาณ ½ -1 ชั่วโมง
I = 2-3’ D = 40-60”
ผู้คลอดเกิดความรู้สึกอยากเบ่ง และ รู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ
มี Internal Rotation สมบูรณ์ (Occiput Anterior Position)
เมื่อผู้คลอดเบ่ง ศีรษะทารกมีการเงยขึ้น (Extension)
การประเมินผู้คลอดรับใหม่
การซักประวัติ
ลักษณะจำนวนสิ่งคัดหลั่งที่ออกจากช่องคลอด
ลักษณะน้ำเดิน
ลักษณะของอาการเจ็บครรภ์
การตรวจร่างกาย
รูปร่างและโครงสร้างของร่างกาย
ลักษณะทั่วไปเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของผู้คลอด
ประเมินสัญญาณชีพ
อาการบสม
การตรวจปัสสาวะ
การตรวจครรภ์
การตรวจภายใน
สภาพช่องคลอด
ประเมินความยืดขยายของผนังช่องคลอด
ประเมินดูก้อน หรือติ่งเนื้อ
ประเมินความนุ่ม
สภาพปากมดลูก
ลักษณะนุ่มหรือแข็ง
การบวมของปากมดลูก
ตำแหน่งขแงปากมดลูก
การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
ความบางของปากมดลูก
การตรวจดูสภาพของถุงน้ำคร่ำ
การตรวจหาส่วนนำและระดับของส่วนนำ
สภาพช่องเชิงกราน
การคลำ
วิธีของ Leopold's hand grip
Lateral grip การคลำว่าส่วนหลังของทารกอยู่ด้านใด
Pawlik' grip เพื่อตรวจหาส่วนนำของทารก และประเมินว่าส่วนนำลงสู่อุ้งเชิงกรานหรือไม่
Fundal grip ตรวจหาระดับยอดมดลูก
ฺBilateral inquinal grip ประเมินทรงของทารกและยืนยันว่าส่วนนำเข้าสู่อุ้งเชิงกรานหรือไม่
การดู
ดูขนาดของหน้าท้อง ประเมินเทียบกับอายุครรภ์
ลักษณะของหน้าท้อง เช่น รอยแผลผ่าตัด กล้ามเนื้อหน้าท้องแยกกัน
ลักษณะแนวของมดลูก
การฟัง
การฟังอัตราการเต้นของหัวใจ
เพื่อประเมินสภาพทารกในครรภ์ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ มีภาวะขาดออกซิเจนหรือไม่ โดยค่าปกติอยู่ที่ 110 - 160 ครั้ง/นาที
ระยะที่ 3
เริ่มทันทีหลังทารกคลอด -รกคลอด
ระยะเวลาไม่เกิน 30 นาที ทั้งครรภ์แรกและครรภ์หลัง
กลไกการรลอกตัวของรก
ชนิดของการลอกตัวของรก
Schultze mechanism
พบ 70 %
ลอกจากตรงกลางของรกก่อน
มองเห็นรกด้านลูกที่มี amnion หุ้มก่อน
ไม่มี vulva sign
Duncan mechanism
ลอกจากบริเวณรกด้านริมรกก่อน
มี vulva sign
พบ 30%
การทำคลอดรก
ให้คลอดเองตามธรรมชาติ
ช่วยเหลือในการคลอด
Modified crede’
maneuver
Brandt-Andrews maneuver
Cord traction
การตรวจรก
1.ตรวจสายสะดือ
เส้นเลือด : artery 2/ vein 1
ปม : true knot/ false vascular knot
ความยาว เฉลี่ย 55 cms (30-100 cms)
ตำแหน่งที่เกาะบนรก : central, lateral, marginal
2.ตรวจเยื่อหุ้มเด็ก
รอยแตกห่างจากขอบรก : ปกติ > 7 cms
สัดส่วนของเยื่อหุ้มเด็ก 2 ชั้นสมดุลกันหรือไม่
ขนาดของเยื่อหุ้มเด็กสมดุลกับตัวเด็กหรือไม่
3.ตรวจรกด้านลูก
เส้นเลือดที่แผ่จากที่เกาะของ cord บน chorionic plate
4.ตรวจรกด้านแม่
จำนวนของ cotyledon
infarction/calcification
marginal sinus รอบขอบรก
รอยบุ๋มบริเวณผิวรกด้านแม่
5.ตรวจดู chorion
ระยะที่ 4
หลังคลอดรก 2 ชม
การพยาบาล
1.การป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
2.ทำความสะอาด ดูแลให้ได้รับสารอาหารและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และดูแลให้ได้รับความอบอุ่น
3.ส่งเสริมสัมพันธภาพของครอบครัว
5.การย้ายมารดาออกจากห้องคลอด
4.การบันทึกรายงานการคลอด
อายุครรภ์ 38 - 42 สัปดาห์
ทารกมียอดศีรษะเป็นส่วนนำ
คลอดธรรมชาติ
ขณะคลอดท้ายทอยต้องอยู่ด้านหน้าช่องเชิงกรานหรือใต้กระดูกหัวหน่าว
ระยะตั้งแต่เจ็บครรภ์จริง - คลอดไม่ควรเกิน 24 ชม
การดูแลทารกแรกเกิด
คือ ทารกที่มีอายุอยู๋ใน 28 วันแรกหลังคลอด
การตรวจร่างกายทารกแรกเกิด
ลักษณะทั่วไป
ศีรษะโตเมื่อเทียบกับลำตัว
นน.เฉลี่ย 3200 g.
ความยาว 50 ซม.
ขนาดรอบศีรษะ 33-35 ซม.
รอบทรวงอก 31ซม.
ผิวหนังสีชมพู
ศีรษะและใบหน้า
อาจพบก้อนที่ศีรษะ caput succedaneum
ใบหน้า 2 ซีกจะเหมือนกัน ค่อนข้างกลม
คอสั้น ไม่มีปีกที่คอ ต่อมธัยรอยด์ไม่โต
บรีเวณปลายจมูกมักพบจุดขาวๆ milia
คลำดูกระดูกไหปลาร้าว่ามีการหักหรือไม่
ทรวงอก
รูปร่างกลม สมมาตรกัน ไม่บุ๋ม ไม่โป่งนูน หรือแบน
ราบข้างใดข้างหนึ่ง
ความผิดปกติที่อาจตรวจพบ
อกบุ๋ม (Pectus excavatum)
อกนูน (Pectus carinatum)
หัวนมมากกว่าปกติ (Supernumerary nipples)
ท้องและอวัยวะสืบพันธุ์
ท้องอืดทำให้มีการหายใจลำบาก
ท้องแฟบควรนึกถึงไส้เลื่อนกระบังลม
อาจคลำพบตับ ม้ามและไตได้
ควรปัสสาวะภายใน 24 ชม.
เพศชาย : อัณฑะลงมาอยู่ในถุงทั้ง 2 ข้าง
เพศหญิง : labia majora ชิดกันทั้ง 2 ข้าง
หน้าท้องค่อนข้างกลม นุ่ม โป่งนูนเล็กน้อย
แขนขา มือ-เท้า
อาจพบเท้าปุก ข้อสะโพกเคลื่อนในรายที่คลอดยาก
ความยาวของขา การเหมือนกันของ gluteal fold
จำนวนนิ้วมือ นิ้วเท้า ลายฝ่าเท้า 2 ใน 3 ของฝ่าเท้า
ผิวหนัง
สีชมพู ปลายมือปลายเท้าอาจเขียวได้ มีความตึงตัวดี เรียบ ยืดหยุ่น ไม่มีผื่นหรือตุ่ม
ความผิดปกติที่อาจตรวจพบ
ผิวสีเขียวหรือม่วงคล้ำจากการขาดออกซิเจน
ผิวซีดจากภาวะเลือดมารดากับทารกเข้ากันไม่ได้
มีพรายย้ำตามตัว ทารกอาจมีเกร็ดเลือดในร่างกายต่ำ
บางรายอาจมีตุ่มหนองคล้ายสิว เรียกว่า acne neonatorum
Apgar score
การแปลผล
คะแนน 8-10 : สภาพของทารกปกติดี
คะแนน 5-7 : ขาดออกซิเจนเล็กน้อย
คะแนน 3-4 : ขาดออกซิเจนในระดับปานกลาง เขียวคล้ำ
คะแนน 0-2 : ขาดออกซิเจนอย่างมาก มีความเป็นกรดสูง
การพาบาลทารกประจำวัน
การอาบน้ำ
การดูแลทำความสะอาด หู ตา จมูก ปาก สะดือ
การชั่งน้ำหนัก
การวัดความยาวและรอบศีรษะ/สัปดาห์
การดูแลด้านจิตใจ
การสร้างสัมพันธภาพระหว่างทารกและมารดา
การพยาบาลหลังคลอด
หมายถึง ตั้งแต่ทารกและรกคลอดครบจนถึง 6 สัปดาห์
ระยะหลังคลอด
หลังคลอดระยะต้น ( early postpartum period) : ระหว่างวันที่ 2 - 7 หลังคลอด
หลังคลอดระยะปลาย (late postpartum period) : สัปดาห์ที่ 2- 6 หลังคลอด
ระยะหลังคลอดทันที (Immediate postpartum period) : ระยะ 24 ชม.แรกหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงด้านกายวิภาคและสรีรวิทยา
ระบบสืบพันธุ์
น้ำคาวปลา
Lochia rubra : สีแดงเข้ม 1 - 3 วัน
Lochia serosa : สีชมพู จางลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีน้ำตาล 4 - 9 วัน
Lochia alba : น้อยลงเป็นสีเหลืองจางๆ ขาว 10 -14 วัน
ปากมดลูก
การเปลี่ยนแปลงของมดลูก
หลังการคลอดมดลูกจะมีการเข้าอู่
24 ชม.แรกมดลูกจะสูงระดับสะดือหรือสูงกว่า เป็นก้อนกลมแข็ง หดรัดตัวดี
หลังจากนั้นยอดมดลูกจะลดลงวันละประมาณ 1ซม.หรือ 1 fingerbreadth
วันที่ 6 หลังคลอดจะคลำพบยอดมดลูกอยู่กึ่งกลางระหว่างสะดือกับหัวหน่าว
วันที่ 10 -12 ยอดมดลูกลดลงอยู่ที่หัวหน่าว คลำไม่พบที่หน้าท้อง
ช่องคลอด
ช่องคลอดมีการยืดขยาย
ผนังช่องคลอดยังไม่มี Rugae
เยื่อพรหมจารีย์จะมีลักษณะฉีกขาดกลายเป็นเนื้อติ่งเล็กๆ
ฝีเย็บ
หลังคลอดมักมีแผลฝี เย็บจากการตัดฝี เย็บ/การฉีกขาดของฝี เย็บอาจถึงทวารหนักส่งผลให้ปวด ติดเชื้อได้
ความไม่สุขสบายจากการตัดฝีเย็บ แต่ภายใน 1 สัปดาห์อาการปวดแผลฝี เย็บจะลดลง แต่ในหญิงระยะหลังคลอดบางคนอาจปวดแผลฝี เย็บนาน 5-6 สัปดาห์
ปกติแผลฝี เย็บจะหาย นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของผนังหน้าท้อง
เต้านมและน้ำนม
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
1.การไหลเวียนของเลือดระหว่างมดลูกกับรกสิ้นสุดลง
2.หลังเด็กคลอด การผลิตฮอโมนจากรกสิ้นสุดลงเป็นการตัดตัวกระตุ้นที่ทำให้หลอดเลือดขยาย
3.มีการเคลื่อนย้ายของน้ำนอกหลอดเลือดที่สะสมระหว่างการตั้งครรภ์ออกมา
ระบบหายใจ
หลังคลอดปอดขยายได้ดีขึ้น การหายใจสะดวกมากขึ้น
ระบบทางเดินปัสสาวะ
มารดาหลังคลอดจะถ่ายปัสสาวะลำบากและจะเป็นมากขึ้น ถ้ามีอาการบวมของฝีเย็บ
ควรหลีกเลี่ยงการคั่งค่างของปัสสาวะเพราะจะทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี เป็นสาเหตุของการตกเลือด
กระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะทุก 4- 6 ชม
โดยปกติมารดาหลังคลอดต้องสามารถถ่ายปัสสาวะได้เองภายใน 6- 8 ชม.
ระบบทางเดินอาหารและการเผาผลาญ
หัลงคลอดจะเริ่มหิวและรู้สึกกระหายน้ำทันทีที่คลอดเสร็จ
มีอาการท้องผูกจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนหรือเจ็บแผลฝีเย็บ
ระบบผิวหนัง
ฝ้าที่หน้าจะหายไป
รอยแตกบริเวณผนังหน้าท้อง ต้นขาด้านใน เส้นกลางท้อง จะมีสีจางลงแต่ไมม่หายไป
มีเหงื่อออกมาก
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคม
การปรับตัวของมารดาหลังคลอด
1.Taking-in phase : 1 - 2 วัน มารดาจะมุ่งที่ความสุขสบายของตนเองและต้องการพึ่งพาผู้อื่น
2.Taking-hold phase : 10 วัน มารดาสนใจตนเองน้อยลงและสนใจบุตรมากขึ้น
3.Letting-go phase : ระยะกลับบ้าน มารดาปรับตัวต่อบุตรที่ต้แงการการพึ่งพาและการช่วยเหลือ
ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด
Post-partum Blues : 3 - 10 วันหลังคลอด ผลจากมีวามตึงเครียดทางจิตใจอย่างมาก
Post-partum Depression : มารดามีอาการหงุดหงิด ซึมเศร้า ร้องไห้ง่าย กังวลในสุขภาพของบุตรมาก
Post-partum Psychosis : มีอาการสับสน สูญเสียความจำและสมาธิ นอนไม่หลับ หงุกหงิดง่าย หลงผิด
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
เป็นการตรวจสอบสุขภาพทารกในครรภ์ตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ - ระยะคลอด
การตรวจทางชีวเคมี (Biochemical assessment)
คัดกรองจากเลือดมารดาหาระดับแอลฟาฟีโตโปรตีน (maternal serum alpha - fetoprotein screening = MSAFP)
ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 15 สัปดาห์
ค่ำปกติ AFP =2.5 MoM ( multiple of median)
ถ้า AFP > 2.5 MoM ทำรกเสี่ยงมีท่อประสาทเปิด(neural tube defects)
ถ้า AFP < 2.5 MoM ทำรกเสี่ยงเป็นกลุ่มอาการดาวน์ (down syndrome)
การดูดเนื้อเยื่อรก (Chorionic Villus Sampling = CVS)
1.วิธี transcervical chorionic villus sampling
ทำเมื่ออายุครรภ์ 10 - 14 สัปดาห์
2ิ.วิธี transabdominal chorionic villus sampling
เก็บตัวอย่างเลือดทารกในครรภ์ (fetal blood sampling)
ตรวจหาโรคทางพันธุกรรม
ธาลัสซีเมีย
ฮีโมฟิเลีย
ภาวะทารกบวมน้ำ
การติดเชื้อไวรัส
การตรวจระดับ Estriol (E3) ในเลือดและปัสสาวะจากมารดา
การตรวจ Human placenta lactogen
เริ่มสร้างในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากการตกไข่
ระดับสูงสุดเมื่อ GA 36-37 wks.
การเจาะน้ำคร่ำ
ตรวจโครโมโซม เพื่อประเมิน Down syndrome ประเมินเมื่ออายุครรภ์ระหว่าง 15 - 18 สัปดาห์
ทดสอบความสมบูรณ์ของปอดทารกในครรภ์ (lung maturity test) ประเมินเมื่ออายุครรภ์ 36 - 37 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ respiratory distress syndrome = RDS
การตรวจทางชีวฟิสิกส์ (Biophysical assessment)
Baseline Fetal heart sound
Baseline rate : ค่าเฉลี่ยของอัตราการเต้นของหัวใจทารก ปกติ 110-160 ครั้ง/นาที ในระยะเวลา 1 นาที
bradycardia < 110 ครั้ง/นาที
สาเหตุ
1.Hypoxia (acute)
2.Drug: local anesthetic
3.Congenital heart block
4.hypothermia
tachycardia > 160 ครั้ง/นาที
สาเหตุ
Maternal fever
Fetal infection
Hypoxia(chronic/mild)
Drug :atropine,epinephrine,etc.
Hyperthyroidism
Variability
อัตราการเต้นของหัวใจทารกที่มีการเปลี่ยนแปลง (fluctuate) ที่ไม่สม่ำเสมอ ทั้ง amplitude และ ความถี่ (frequency) ระหว่าง beat to beat
Acceleration
การเพิ่มขึ้นของ FHR
< 32 wks. FHR สูงจาก baseline > 10 bpm ระยะเวลา 10 วินาที
≥ 32 wks. FHR สูงจาก baseline > 15 bpm ระยะเวลา 15 วินาที
Deceleration
1.Non stress test : NST
เป็นการตรวจดูอัตราการเต้นของหัวใจทารกเมื่อทารกมีการเคลื่อนไหว
ข้อบ่งชี้การทำ NST
1.ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
2.ตั้งครรภ์เกินกำหนด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
4.มีภาวะแทรกซ้อนร่วมกับการตั้งครรภ์
5.มีถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
6.ตั้งครรภ์แฝด
7.มีภาวะ Rh isoimmunization
8.อายุมากกว่า 35 ปี
มีประวัติทารกตายในครรภ์
2.Contraction stress test : CST
เป็นการตรวจดูการเปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจทารกเมื่อมดลูกหดรัดตัว
ข้อห้ามในการตรวจวิธีนี้
สตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติผ่าตัดการคลอดมาก่อน
มีประวัติเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
มีครรภ์แฝด
มีมดลูกรูปร่างผิดปกติ หรือมีรกเกาะต่ำ หรือมีถุงน้ำคร่ำ
แตกก่อนกำหนด
ฟีตัล ไบโอ ฟิสิคัล โปรไฟล์ (fetal biophysical profile : BPP)
เป็นการตรวจดูจาก ultrasound:
1.การหายใจของทารก
(fetal breathing movement = FBM)
2.การเคลื่อนไหวของทารกทั้งร่างกาย
(gross body movement = FM)
3.กำลังกล้ามเนื้อของทารก ( fetal tone = FT)
4.การที่หัวใจทารกตอบสนองเมื่อทารกเคลื่อนไหว
(reactive fetal heart sound = FHS)
5.ปริมาณน้ำคร่ำ (amniotic fluid volume)
การตรวจทางคลินิก (Clinical assessment)
การซักประวัติ
ประวัติส่วนตัว : อายุ
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
ประวัติครอบครัว
ประวัติการใช้ยาและแพ้ยา
ประวัติการตั้งครรภ์
และการคลอดในอดีต
ชั่งน้ำหนักมารดา
จากการวัดความสูงของมดลูก
จากการคลำระดับความสูงของยอดมดลูก
จากการวัดระดับความสูงของยอดมดลูกด้วยสายเทป
ใช้วิธี McDonald
อายุครรภ์ (สัปดาห์) = ความสูงของมดลูก (ซม.) x 8/7
อายุครรภ์ (เดือน) = ความสูงของมดลูก (ซม.) x 2/7
ผิดปกติ
ถ้าความสูงที่วัดได้ < ค่าคำนวณได้ 3 ซม
หรือ ความสูงที่วัดได้ > ค่าคำนวณได้ 3 ซม
ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจทารก (Fetal heart rate)
การตรวจนับจำนวนทารกในครรภ์ดิ้น (fetal movement count : FMC)
วิธีการนับครบสิบ (count to ten) หรือวิธีการคาร์ดิฟ (cardift count to ten)
วิธีการนับจำนวนครั้งของการดิ้นหรือการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์อย่างต่อเนื่องจนครบ 10 ครั้ง ภายใน 4 ชั่วโมง เริ่มนับเมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์
วิธีการของซาดอฟสกี้ (Sadovsky)
เป็นการนับการดิ้นของทารกในครรภ์วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น ผลรวมจำนวนครั้งของการดิ้น 3 เวลาหลังอาหาร มีค่าเท่ากับ ≥ 10 ครั้ง แปลผลว่า สุขภาพทารกปกติ
การพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพด้วยท่าทีเป็นมิตร
2.ประเมินอายุครรภ์/ซักประวัติความรู้สึกทารกดิ้นในครรภ์
3.อธิบายลักษณะการดิ้นของทารก : มีลักษณะกลิ้งตัว,การยืดหดของลำตัวและแขน – ขา, สะอึก
4.แนะนำวิธีการบันทึกการดิ้น
5.เปิดโอกาสให้ซักถาม
6.ถ้าทารกดิ้น < 10 ครั้ง/วัน ให้มาพบแพทย์ก่อนนัดปกติทารกในครรภ์จะมีสัญญาณอันตรายก่อนที่จะเกิดภาวะขาดออกซิเจน (fetal distress) เรียกว่า movement alarm signal (MAS) โดยมีสัญญาณทารกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งต่อ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 วัน ติดต่อกัน และถ้าหยุดดิ้นหรือหยุดเคลื่อนไหว ประมาณ 12 – 24 ชั่วโมง ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์