Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory bowel disease : IBD) (ภาวะแทรกซ้อน…
โรคลำไส้อักเสบ
(Inflammatory bowel disease : IBD)
สาเหตุ
การอักเสบของลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่เกิดในวัยรุ่น และผู้ใหญ่วัยค้นพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ถึง 60 ปี พบได้สูงสุดในวัย 15-20 ปี และช่วง 55-60 ปี รองลงมาเพศหญิงและเพศชายพบได้พอๆกัน
พยาธิสภาพ
การอักเสบของลำไส้ใหญ่ เริ่มเป็นที่ไส้ตรงหรือลำไส้ใหญ่ส่วนซิกมอยด์ (Sifmoid Colon) มีแผลบริเวณเยื่อบุละมีเลือดออกบริเวณที่มีการอักเสบ จะพบเซลล์เม็ดเลือดขาว (Polymorphonuclear leukocytes) ลิมโฟซัยท์ (Lymphocyts) และเม็ดเลือดและเกิดเป็นหนองอยู่ตรงกลาง (Crypt Abscesses) ทำให้เกิดเป็นแผลเล็กๆ ถ้าโรคดำเนิดต่อไปถึงลำไส้ใหญ่ (Colon) และกินบริเวณกว้างทำให้เกิดการบวมและลำไส้ใหญ่จะหนาตัวขึ้น แผลอาจจะทะลุและเกิดเป็นฝี ถ้าเป็นเรื้อรังจะมีเยื่อผังผืดเกิดขึ้น ผนังจะหนาขึ้นลำไส้ตีบแคบลง พื้นที่ในการดูดซึมจะลดลง
ความหมาย
การอักเสบของลำไส้ใหญ่ เป็นภาวะเรื้อรังจะมีการอักเสบตลอดลำไส้ตรง และลำไส้ใหญ่ (Colon) โรคจะมีลักษณะเป็นๆ หายๆ และจะมีอาการกำเริบเป็นระยะเป็นโรคที่พบบ่อยในบ้านเราส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการติดเชื้อที่สำคัญได้แก่ ซิเกลโลซิล (Shigellosis) ซาลโมเนลลา (Salmonella) และอะมีบ้า (Amoebiasis)
ภาวะแทรกซ้อน
ลำไส้โปร่งพอง (Toxic Megacion) แผลและรูทะลุรอบๆทวารหนัก (Perianal Fissure and Fistula) เลือดออก และเกิดฝีมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งทวารหนัก (Colorectal Cancer) ประมาณร้อยละ 15 หลังจากมีอาการ 15 ปี และเพิ่มร้อยละ 50 หลังจากมีอาการลำไส้อักเสบ 25 ปี
อาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ภาวะแทรกซ้อนนอกลำไส้
เช่น ข้ออักเสบ (Arthritis), นิ่วในไต (Nephrolithiasis) ผิวหนังอักเสบเฉียบพลัน (Erythema nodosum) ผื่น (Skin rash) และการระคายเคืองของตา
ชนิดของลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง
1.การอักเสบฉียบพลัน (Acute colitis)
ชนิดที่มีความรุนแรง (Acute fulminating type) พบไม่บ่อยผู้ป่วยมีอาการอักเสบลุกลามไปถึงชั้นกล้ามเนื้อของผนังลำไส้ จะเกิดการทำลายของกล้ามเนื้อเท่านั้น จะทำให้ลำไส้ใหญ่โปร่งพอง (Acute Toxic megacolon) ผนังของลำไส้จะบางและพร้อมจะแตก ผู้ป่วยจะมีอาการท้องอืดมากเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (Sepsis)และช็อค อาการจะเริ่มต้นเร็วจากการถ่ายอุจจาระร่วงอย่างหนัก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ตรวจเลือดจะพบอัลบูมิน โปรทรอมบิน เกลือแร่ และแคลเซียมอาจจะลดลง ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนักอย่างรวดเร็วและอาจจะเสียชีวิต
2.การอักเสบเรื้อรังหรือเป็นๆหายๆ (Chronic colitis or colitis in remission)
อาการจะเรื้อรังจะมีอาการเป็นๆ หายๆอยู่เป็นเวลานานนับปี อาการจะกำเริบ (Exacerbation) อยู่สักระยะหนึ่ง แล้วจะดีขึ้นหรืออาการหายไป (Remission) บางครั้งการกำเริบอาจจะเริ่มจากอาการ คือ ถ่ายเป็นเลือดสดๆ เป็นครั้งคราว ซึ่งอาจจะคิดว่าเป็นริดสีดวงทวาร แต่บางครั้งมีมูกปนด้วย เมื่ออาการอักเสบลุกลามไปถึงซิกมอยด์ (Sigmoid) และลำไส้ส่วนลง (Descending Colon) ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสียเป็นประจำ ถ่ายบ่อยครั้ง มีมูกและอาจจะมีเลือดปนเป็นบางครั้ง ปวดท้องเหมือนลำไส้บิด (Colicky) และอาจจะมีอาการปวดเบ่ง (Tenesmus) ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ถ้าอาการนี้เป็นอยู่นานผู้ป่วยจะเสียเลือดสารต่างๆ รวมทั้งโปรตีนไปอย่างมาก ผู้ป่วยจะแสดงอาการขาดอาหาร ผอม แห้ง ตาโหล แก้มตอบ แขนขาลีบ (Muscle wasting)
การรักษา
การรักษาด้วยยา
1.1 การรักษาเพื่อประคับประครอง
ภาวะท้องเสียเรื้อรังทำให้เกิดความไม่สมดุลของน้ำและเกลือแร่ รวมกับภาวะขาดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีนจากการเสียไปในอุจจาระ (Protein losing enteropathy) นอกจากนี้ยังพบภาวะโลหิตจางและการขาดวิตามินเช่นเดียวกับในกลุ่มอาการบกพร่องในการดูดซึม (Malabsorption syndrome) โดยให้กินและทางหลอดเลือด เช่น สารน้ำ เกลือแร่ วิตามิน และในรูปอาหารของอาหารที่ให้ทางหลอดเลือดดำ (Hyperalimentation)
1.2 การพักผ่อน
จำเป็นและสำคัญมาก
1.3 การรักษาทางด้านจิตใจ
ภาวะทางด้านจิตใจ เป็นปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโรค ผู้ป่วยมักจะมีปัญหาทางด้านจิตใจ อาจจะเนื่องมาจากความกดดันต่างๆนานๆ เช่น มีหน้าที่รับผิดชอบมากเกินไป มีปัญหาทางครอบครัว บางครั้งการปรึกษาจิตแพทย์ก็เป็นเรื่องจำเป็น และยาประเภทสงบระงับต่างๆ (Tranquillizer) อาจจำเป็นต้องให้เป็นครั้งคราว
1.4 อาหาร
อาหาร ควรให้อาหารอ่อนหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารทอด เครื่องเทศและอาหารสลัด และความเปผ็นอาหารชนิดที่มีกากน้อย (Low residue diet) เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันของลำไส้ (Intestinalobstruction) ได้ง่าย และย่อยอาหารพวกนมควรหลีกเลี่ยงอาจเป็นตัวกระตุ้น (Aggravatin factor) เกิดปฏิกิริยาแพ้เป็นสาเหตุให้เกิดโรค หรือ ทำให้อาการของโรคเลวลงได้
1.5 ยา
1.5.1 ยาปฏิชีวะนะ ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะทำลายแบคทีเรียทั้งหลายที่มีอยู่ตามปกติในร่างกาย (Normal flora) แต่ถ้าผู้ป่วยมีการอักเสบมาก มีไข้สูง มีแผลในลำไส้มากมายอาจทำให้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์กว้างขวาง (Broad spectrum antibiotics)
1.5.2 ยาต้านอาการท้องเดิน (Antidiarrheal drug) ต้องให้อย่างระมัดระวังเพราะอาจเกิดปัญหาเกิดการพองของลำไส้ (Toxic megacolon) หรือการอุดตันของลำไส้
1.5.3 ซัลฟาลาซีน (Sulphasalazine) เช่น ซาลาโซไพริน(Sulazopyrine) หรือ อะซัลฟิติน (Azulfidine) ยานี้ช่วยทำให้โรคหายขาด ขนาด 0.5 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง ผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้อ่อนเพลีย แต่ระวังการเกิดภาวะโลหิตจาง (Hemolyticemia) โดยเฉพาะในผู้ที่มีการพร่องเอ็นไซม์ บางครั้งการกดในกระดูกการสร้างเม็ดเลือดน้อย (Agranulocytosis) หรือซีดจากไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia) ได้
1.5.4 คอร์ติโคสเตอรอยด์ (Corticosteroid) เพื่อลดการอักเสบที่รุนแรงในระยะฉียบพลัน อาจให้ในรูปของเพรดนิโซโลน (Prednisolone) คอร์นิโซน (Cortisone) หรือ ACTH ก็ได้ อาจจะให้กินหรือ ฉีดเข้ากล้าม ฉีดเข้าหลอดเลือด หรือสวนเก็บทวารหนัก ขนาดที่ให้นั้นขึ้นกับความรุนแรงของโรค ส่วนใหญ่ประมาณ 20-60 มิลลิกรัม/วัน จนกระทั่งอาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยๆ ลดจำนวนลง แต่ลำไส้เล็กอักเสบ
การอักเสบจะกินลึกเข้าไปในผนังลำไส้ และเกิดภาวะเรื้อรังมากกว่า การหายจะช้ากว่า ดังนั้นอาจให้ยานานกว่า
การรักษาทางศัลยกรรม
เป็นการนำลำไส้มาเปิดออกทางหน้าท้องเพื่อขับถ่ายอุจจาระ ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติหรือโรคบริเวณลำไส้ เช่น การบาดเจ็บบริเวณลำไส้ ลำไส้อุดตัน หรือโรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น
โดยที่
การทำ Ostomy ทวารเทียมหรือทวารใหม่ เป็นการนำลำไส้มาเปิดออกทางหน้าท้องเพื่อขับถ่ายของเสีย ทวารเทียมจะทำใน 2 ระบบคือ ระบบทางเดินอาหารโดยทำหน้าที่เป็นทางออกเพื่อขับถ่าย อุจจาระ อาจเป็นแบบถาวร หรือแบบชั่วคราว ซึ่งสามารถผ่าตัดปิดทวารเทียมให้ถ่ายทางทวารหนักได้เหมือนเดิม ขึ้นกับภาวะโรคของแต่ละคน อีกระบบคือระบบทางเดินปัสสาวะ โดยทวารเทียมทำหน้าที่เป็นทางออกเพื่อขับถ่ายน้ำปัสสาวะ
สัมพันธ์กับ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ WBC 13,500 , ESR 56, CRP 4.5 mg/dl