กาแฟ
ชนิดของกาแฟ(ณัฐสิทธิ์)
การผลิตเมล็ดกาแฟ (ประภาพร)
ลักษณะของกาแฟ (ทิพปภา)
ประโยชน์ของกาแฟ (ฮัสนา)
ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ
- การเตรียมเมล็ด
กาแฟช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานน้อยลง
กาแฟช่วยชะลอความจำเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ได้
กาแฟช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดไมเกรน
ประโยชน์ของกาแฟช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ถึง
ประโยชน์ของกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี
กาแฟช่วยป้องกันและบรรเทาการเกิดโรคหอบหืด
กาแฟช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใส คลายความเครียดได้ถึง 15-20%
กาแฟมีประโยชน์ในการช่วยสลายไขมัน
ประโยชน์ของกาแฟทำให้ความสามารถในการเล่นกีฬาดีขึ้น
4.1 การคั่ว
- คั่วปานกลาง (Medium Roast) จะได้สีน้ำตาลทองอ่อนเช่นกัน แต่รสชาตินั้นจะมีความเปรี้ยวลดลง เหมาะกับการชงกาแฟดำ หรืออเมริกาโน่
- คั่วเข้ม (Medium Dark Roast) สีที่ได้จะเป็นน้ำตาลเข้ม รสชาติจะขมและมีความอมเปรี้ยวนิดหน่อย เนื่องจากมีความมันจากสารคาเฟออยล์ที่แตกออกมา ชงได้ทั้งกาแฟดำและกาแฟเย็นที่ผสมกับนมและอื่นๆ ตามแต่ละเมนู
- คั่วอ่อน (Light Roast) จะทำให้รสชาติของกาแฟนั้นออกรสเปรี้ยวเหมือนการหมักของไวน์ สีที่ได้คือน้ำตาลทองอ่อน นิยมชงดื่มแบบสบายๆ คล้ายดื่มชา
- คั่วเข้มมาก (Dark Roast) สีจะเข้มมากจนถึงดำ และรสชาติจะมีความขมเข้ม แทบไม่เหลือความเปรี้ยว นิยมใช้ชงกาแฟเย็นที่ผสมกับนมและอื่นๆ ตามแต่ละเมนู
4.2. การบด
- บดหยาบ เหมาะกับเมล็ดที่คั่วอ่อนและปานกลาง เพราะจะทำให้ได้รสชาติที่อ่อนไม่หนักไป
- บดปานกลาง ระดับนี้จำเป็นต้องใช้กรวยกรองเป็นตัวช่วย เหมาะกับคั่วแบบอ่อนไปถึงกลาง ระยะเวลาผ่านน้ำจะนานไปด้วย
- บดละเอียด เหมาะกับการคั่วแบบเข้ม ซึ่งจะทำให้รสชาติออกมาเข้มข้น
กาแฟมีส่วนลดการเกิดโรคพาร์กินสัน
กาแฟทำให้ร่างกายตื่นตัวและไม่รู้สึกง่วง
- การเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟ
สำหรับเมล็ดกาแฟที่โตเต็มที่พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว ภายหลังที่ต้องดูแลใส่ใจทะนุถนอมต้นของมันจนเติบโตสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวเอาเมล็ดกาแฟที่สุกงอม จะให้ผลผลิตภายหลังจากการเพาะปลูกประมาณ 3-5 ปี และจะเก็บผลผลิตได้ภายหลังจากนั้นประมาณ 6-8 ปี แล้วแต่สภาพปัจจัยแวดล้อมในพื้นที่ปลูกนั้นๆ ซึ่งปกติ ผลกาแฟจะถูกเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ การเก็บที่ดีที่สุด คือการใช้แรงงานคน โดยการใช้มือปลิดเอาผลที่แก่เต็มที่เท่านั้น แยกจากผลอื่นที่สุกไม่เท่ากัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเก็บเกี่ยวกาแฟได้หลายรุ่น ดังนั้นด้วยเหตุนี้แรงงานคนจะมีความสามารถแยกแยะเมล็ดกาแฟ โดยที่เครื่องจักรไม่สามารถทำได้
หลักในการทดสอบว่าผลกาแฟแก่เต็มที่แล้วหรือยัง จะใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือบีบผลของมันดู หากผลแก่เต็มที่แล้ว จะหลุดจากขั้วได้อย่างง่ายดาย ผลจะถูกเก็บใส่ตะกร้าเพื่อเข้าสู่กระบวนการถัดไป ซึ่งนิยมเรียกกันว่าการผลิต “สารกาแฟ”
กาแฟอาราบิก้า
กาแฟอาราบิก้า ชื่อสามัญ Arabian coffee, Coffee, Kofi, Koffie, Brazillian coffee
กาแฟอาราบิก้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea arabica L. จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE)[1]
ต้นกาแฟอาราบิก้า เป็นพืชพื้นเมืองของทวีปแอฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แต่ชาวอาหรับเป็นชาติแรกที่นำกาแฟมาชงดื่ม จึงทำให้ชื่อภาษาละตินของกาแฟใช้คำว่า “อาราบิก้า” (arabica) ที่หมายถึงชาวอาหรับ โดยต้นกาแฟจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีความสูงของต้นประมาณ 2-4 เมตร ในปัจจุบันเพาะปลูกกันมากในเขตร้อนชื้นและกึ่งเย็น[1]
ต้นกาแฟอาราบิก้า เป็นพืชพื้นเมืองของทวีปแอฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แต่ชาวอาหรับเป็นชาติแรกที่นำกาแฟมาชงดื่ม จึงทำให้ชื่อภาษาละตินของกาแฟใช้คำว่า “อาราบิก้า” (arabica) ที่หมายถึงชาวอาหรับ โดยต้นกาแฟจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีความสูงของต้นประมาณ 2-4 เมตร ในปัจจุบันเพาะปลูกกันมากในเขตร้อนชื้นและกึ่งเย็น[1]
ใบกาแฟอาราบิก้า ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบแหลมเล็กน้อย ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-12 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบเป็นมัน บางครั้งเป็นคลื่น มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ[1]
ประโยชน์ของกาแฟช่วยชะลอความชรา ไม่ให้แก่ก่อนวัย
ดอกกาแฟอาราบิก้า ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกเป็นสีขาว ติดกันเป็นหลอด ดอกมีกลิ่นหอม[1]
ผลกาแฟอาราบิก้า ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปไข่แกมรูปทรงกลม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง[1]
ลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่ว
ช่วยกระตุ้นความจำ
- การกำจัดเมือก (Demucilaging)เมล็ดกาแฟที่ปอกเปลือกนอนออกแล้วจะมีเมือก mucilage) ห่อหุ้มเมล็ดอยู่ซึ่งต้องกำจัดออกไป การกำจัดเมือกโดยวิธีการหมักโดยใช้น้ำสะอาดหมักไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง จากนั้นนำมาล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง
- วิธีแห้ง เป็นวิธีสำหรับพันธุ์โรบัสต้า โดยการนำเอาผลของกาแฟสดๆ ไปตาก หรือผึ่งแดด เพื่อให้ความชื้นนั้นออกไป ป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อรากับเมล็ดกาแฟจนอาจส่งผลเสียไปถึงกลิ่น รสชาติ และที่สำคัญสำคัญคือสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งพื้นที่ตากนั้นต้องพื้นเรียบ และแห้ง เช่น คอนกรีต เป็นต้น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2–3 สัปดาห์
- การปอกเปลือก โดยการคัดเลือกเมล็ดกาแฟพันธุ์ดี สมบูรณ์ คัดเอาเมล็ดที่เสียออกแล้วจึงนำผลกาแฟสุก ที่เก็บได้เข้าเครื่องปอกเปลือก โดยใช้น้ำสะอาดขณะที่เครื่องทำงาน
ลดความเสี่ยงเป็นโรคพาคินสัน
ปลุกความตื่นตัวได้ในทันที
กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญ
ลดโอกาสเป็นโรคเกาต์
ชะลอการเสื่อมโทรมของเซลล์ผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย
กาแฟ (Coffee) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coffeeo sp. จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลางสูงประมาณ 3-5 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์กาแฟของแต่ละพันธุ์ โดยทั่วไปแล้วกาแฟมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ดังต่อไปนี้
ลำต้น โดยธรรมชาติแล้วกาแฟมีลักษณะลำต้นตรงในระยะแรกของการเจริญเติบโตจะไม่แตกกิ่ง แต่มีใบแตกออกตรงข้ออยู่ตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ต่อมาเมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็มีการแตกกิ่งออกจากลำต้นในลักษณะที่แยกออกจากกันและอยู่ตรงข้ามกันกิ่งที่แตกออกมาใหม่จะมีใบแตกออกเป็นคู่ๆอยู่ตรงข้อเช่นเดียวกับลำต้น กิ่งจะขนานไปกับระดับพื้นดินหรือห้อยต่ำลงดิน ซึ่งเป็นที่เกิดของดอกและผลต่อไป นอกจากการแตกกิ่งออกจากตา ของลำต้นอีกเป็นจำนวนมากทำให้หน่อเกิดขึ้นใหม่นี้เบียดกับต้นเดือน ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้ให้เจริญเติบโตเรื่อยๆ โดยไม่มีการปลิดทิ้งหรือตัดจะทำให้กาแฟมีทรงพุ่มที่แนบแน่นทึบเป็นที่สะสมของโรคแมลง และให้ผลผลิตลดต่ำลง
ดอก ดอกกาแฟมีสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมคล้ายมะลิป่า รูปคล้ายดาวมีก้านสั้น อยู่รวมกันเป็นกลุ่มจะเกิดตามข้อของต้นกาแฟบ้างเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ดอกกาแฟจะออกจากข้อของกิ่งกาแฟ โดยเริ่มไปจากข้อที่อยู่ใกล้ลำต้นลำต้นออกไปหาปลายกิ่ง กาแฟมีลักษณะพิเศษคือข้อของกิ่งจะสั้นสามารถที่จะเกิดดอกปละติดผลได้มาก ดอกกาแฟเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้ง เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียรวมอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียจะมีอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียจะมีอยู่สองส่วน เกสรตัวเมียจะมีอยู่สองส่วน เกสรตัวผู้มีอยู่จำนวนเท่ากับกลีบดอกคือประมาณ2-4อัน กาแฟบางพันธุ์อาจจะมีการพงผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กันโดยง่ายหากอยู่ใกล้กัน เวลาการออกดอกของกาแฟขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ ถ้าในท้องถิ่นที่มีฝนตกเป็นฤดู ดอกจะออกหลังจากฝนตกประมาณ 1 เดือน แต่ถ้าหากอากาศชุ่มชื่นอยู่ตลอดปีหรือมรการชลประทานเพียงพอ กาแฟตะออกดอกสม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ผล แม้ว่าดอกกาแฟจดออกเป็นจำนวนมากแต่การติดผลจะมีเพียง16-26% เมื่อกลีบดอกล่วงแล้วหงกาแฟจะติดเป็นผลมีลักษณะคล้ายลูกหว้า ซึ่งภายในผลกาแฟแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมีเมล็ดกาแฟ1เมล็ดซึ่งมีลักษณะแบนยาวไปตามรูปของเปลือกหุ้มถ้าหากเมล็ดหนึ่งเมล็ดใดลีบเพราะการผสมพันธุ์ไม่ดี เมล็ดที่เหลืออยู่จะมีรูปกลม ส่วนยาวจะมีรูปโค้งเป็นรูปกระบอกตัด เมล็ดที่สุกจะมีสีน้ำตาลปนแดง
เมล็ดกาแฟ เป็นส่วนที่อยู่ในกะลาซึ่งห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆส่วนเนื้อกาแฟที่ห่อหุ้มกะลาเมื่อสุกเต็มที่มีรสหวานเล็กน้อย ลักษณะเป็นยาวเหนียวๆ ผลกาแฟเมื่อสุกเต็มที่ปอกเอาเปลือกและเนื้อทิ้งนำเมล็ดกาแฟทั้งกะลาไปตากแห้งจะเสียน้ำหนักไปประมาณ7%และเมื่อกระเทาะเปลือกและเนื้อทิ้งน้ำเมล็ดกาแฟและกาแฟไปตากแห้งจะเสียน้ำหนักไปประมาณ14.78%หรือกล่าวได้ว่าผลกาแฟสดที่เก็บมาทำเป็นสารกาแฟแห้งเสียน้ำหนักไปประมาณ80%โดยเฉพาะถ้าหากนำไปคั่วทำเป็นกาแฟที่ใช้ชงรับประทานจะมีเนื้อกาแฟแท้13.60%กาแฟข้อหนึ่งๆที่ให้ผลกาแฟแล้วในปีต่อไปจะไม่ให้ผลอีกแต่ผลกาแฟจะออกต่อไปในข้อที่ยังไม่ออกผล กาแฟจะออกผลจากข้อที่ใกล้ลำ
ต้นออกไปสู่ปลายกิ่ง ส่วนจะออกกี่ช่อนั้นสุดแต่ความสมบูรณ์ของต้นกาแฟในปีนั้นๆ (เดียว วงศ์สุวรรณ และคณะ.2530: 8-9)
พันธุ์กาแฟ ในโลกนี้มีกาแฟมากมายหลากพันธุ์หลายชนิด แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไปจะมีอยู่ 4 พันธุ์ คือ
- กาแฟอราบิก้า (Arabica)
- กาแฟโรบัสต้า (Robusta)
- กาแฟเอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa)
- กาแฟลิเบอริก้า (Liberica)
แต่กาแฟพันธุ์ ลิเบอริก้าและเอ็กซ์เซลซ่า ไม่นิยมปลูกเพื่อการค้าเนื่องจากรสชาติไม่ค่อยดีนัก ส่วนพันธุ์ที่นิยมปลูกเพื่อการค้าและมีขายกันโดยทั่วไปมีอยู่ 2 พันธุ์คือ อราบิก้า และโรบัสต้า
กาแฟอราบิก้า(Arabica)
เป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกและบริโภคกันมากที่สุดในโลกมีปริมาณการผลิตถึง 80 เปอร์เซ็นต์ในตลาดกาแฟโลก แต่จะมีจำนวนเพียง 1ใน 8เท่านั้นที่เป็นกาแฟที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่นิยม กาแฟชนิดนี้ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสารกาแฟชั้นดี มีกลิ่นและรสชาติดีที่สุด
เมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้านี้จะมีรูปทรงค่อนข้างเรียวผอม รอยผ่าไส้กลางมีลักษณะคล้ายตัว S เมื่อผ่านกระบวนการผลิตแล้ว กาแฟพันธุ์นี้จะมีกลิ่นหอมหวานอบอวล ซับซ้อน คล้ายกลิ่นช๊อกโกแลตและดอกไม้ รสชาตินุ่มละมุน มีปริมาณคาเฟอีน ประมาณ 1.1-1.7 เปอร์เซ็นต์หรือประมาณครึ่งหนึ่งของพันธุ์โรบัสต้าในสัดส่วนเท่ากัน
กาแฟอราบิก้าชอบความเย็น เจริญเติบโตและให้ผลผลิตดีในพื้นที่ที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 800-2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สำหรับในประเทศไทยนิยมปลูกในเขตพื้นที่ทางภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ตาก น่าน แม่ฮ่องสอน ลำปาง สายพันธุ์ที่นิยมปลูกมากคือ สายพันธุ์ คาร์ติมอร์ อราบิก้าในประเทศไทยสามารถให้ผลผลิตได้ประมาณ 10,000 ตันต่อปี
กาแฟโรบัสต้า(Robusta)
เป็นกาแฟพันธุ์ที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง ปลูกง่ายให้ปริมาณผลผลิตมาก นิยมปลูกกันมากในทวีปอัฟริกาและเอเชีย สามารถปลูกในพื้นที่ที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 500-600 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล สำหรับประเทศไทยนิยมปลูกกันทางภาคใต้ เช่นที่จังหวัดชุมพร,สุราษฏร์ธานี,นครศรีธรรมราช
เมล็ดพันธุ์ของโรบัสต้าจะอวบอ้วน ด้านหลังมีลักษณะนูนเป็นหลังเต่า รอยผ่าไส้กลางเมล็ดจะเป็นเส้นค่อนข้างตรง กาแฟสายพันธุ์นี้ กลิ่นไม่หอมหวานอบอวล ไม่ซับซ้อน รสชาติฝาดกว่าพันธุ์อราบิก้า และมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่า 1-2 เท่าตัวหรือประมาณ 2-4.5 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้ว่าจะให้รสชาติด้อยกว่า มีรสฝาดมากกว่า แต่body (ความเข้มข้น) ของกาแฟพันธุ์นี้จะมีมากกว่า สามารถรับรู้ได้เวลาดื่ม ส่วนใหญ่จะนำมาผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือนำมาผสมกับกาแฟพันธุ์ อราบิก้า เพื่อให้ได้รสชาติที่แตกต่างออกไป กาแฟRobustaในประเทศไทยสามารถให้ผลผลิตได้ประมาณปีละ 70,000ตันต่อปี
ถิ่นที่ปลูกกาแฟ
พื้นดินและสภาพแวดล้อมในที่ต่างๆกันมีผลทำให้กาแฟจากส่วนต่างๆของโลกมีรสชาติต่างกันออกไป เราสามารถแบ่งเขตการปลูกกาแฟในที่ต่างๆของโลกได้ 5 บริเวณดังนี้
อัฟริกา ได้แก่ เอธิโอเปีย เคนย่า เยเมน และไอเวรี่โคสต์
ลาตินอเมริกาและคาบสมุทรคาริเบี้ยน ได้แก่ คอสตาริก้า กัวเตมาลา จาไมก้า
อเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล โคลัมเบีย เปรู เวเนซูเอล่า
เอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินเดีย จีน พม่า ลาว เวียดนาม ไทย และ อินโดนิเซีย
ช่วยฟื้นฟูผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย
- วิธีเปียก เป็นวิธีสำหรับพันธุ์อราบิก้า โดยนำเอาผลสดที่เก็บเกี่ยวแล้วมาแยกผลสุกพร้อมล้างทำความสะอาดผ่านเครื่องเฉพาะ เมื่อเสร็จแล้วก็จะนำเข้าเครื่องสำหรับปอกเปลือก แล้วนำมาล้างเพื่อเอาเมือกออกอีกครั้ง และนำไปสู่ถังหมักทิ้งไว้ประมาณ 12–36 ชม. และท้ายที่สุดก็ต้องนำไปตากหรือผึ่งแดดเพื่อไล่ความชื้นออกเช่นกัน ที่ต้องทำละเอียดเช่นนี้เพราะจะเป็นการรักษารสชาติของกาแฟไว้ให้คงที่ที่สุด
- การบรรจุ เมล็ดกาแฟที่ได้ต้องนำมา คัดสิ่งเจอปนออกให้หมด เก็บไว้ ในรูปของกาแฟกะลาเพราะจะ สามารถรักษาเนื้อกาแฟและป้องกันความชื้นกาแฟได้ดี ควรบรรจุในกระสอบป่านใหม่และควรกลับด้านในของกระสอบ ป่านออกมาผึ่งลมก่อนนำมาใช้ เก็บในโรงเก็บที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับชื้นหรือมีกลิ่น เหม็น
- การสีกาแฟกะลา กาแฟกะลาที่จะนำไปจำหน่าย ควรจะทำการสีเพื่อเอากะลา ออกด้วยเครื่องสีกะลาจะได้สารกาแฟที่มีลักษณะผิวสีอมฟ้า
กระชับรูขุมขน
ช่วยลดเซลลูไลท์ได้ด้วยนะ
ช่วยลดรอยบวมคล้ำใต้ตา
ช่วยดีท็อกซ์สารพิษ เผยหน้าใสกิ๊ง
- การคัดเกรด สารกาแฟ
- ใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องที่ใช้แรงเหวี่ยง(Electronic Coffee Sorting Machine)เพื่อแยกสารกาแฟที่ดีออกจากสารกาแฟที่ไม่สมบูรณ์
- ใช้ตะแกรงร่อนขนาด 5.5 มิลลิเมตร เพื่อแยกสารกาแฟที่สมบูรณ์จากสารกาแฟที่แตกหัก รวมถึง สิ่งเจือปนเมล็ดกาแฟที่มีสีดำ(Black bean) ซึ่งเกิดจากเชื้อราบางประเภท
การดื่มกาแฟช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีได้
ผลกาแฟ ซึ่งบรรจุเมล็ดกาแฟ เป็นผลผลิตจากไม้พุ่มไม่ผลัดใบขนาดเล็กในจีนัส Coffea หลายสปีชีส์ โดยสายพันธุ์ที่มีการปลูกโดยทั่วไปมากที่สุด ได้แก่ Coffea arabica และกาแฟ "โรบัสต้า" ที่ได้จากชนิด Coffea canephora ซึ่งมีรสเข้มกว่า สายพันธุ์ดังกล่าวมีความทนทานต่อราสนิมใบกาแฟ (Hemileia vastatrix) ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สายพันธุ์กาแฟทั้งคู่มีการปลูกในละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปแอฟริกา เมื่อสุกแล้ว ผลดังกล่าวจะถูกเก็บรวบรวม นำไปผ่านกรรมวิธีและทำให้แห้ง หลังจากนั้น เมล็ดจะถูกคั่วในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ และจะถูกบดและบ่มเพื่อผลิตกาแฟ กาแฟสามารถตระเตรียมและนำเสนอได้ในหลายวิธี
ช่วยลดการเกิดโรคตับจากการดื่มสุรา
ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย
ช่วยลดอาการอยากอาหารและช่วยฟื้นฟูประสาทรับกลิ่นได้
ช่วยป้องกันโรคหอบ
4.3 การบ่ม
ช่วยป้องกันมะเร็งตับมะเร็งลำไส้และมะเร็งในช่องปาก
- ในการผลิตกาแฟ วิธีที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนักวิธีหนึ่งได้แก่การบ่ม (Aging) กาแฟหลายๆ ประเภทจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบ่ม รสเปรี้ยวของมันจะลดลง ในขณะที่ความกลมกลืนของรสชาติโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตหลายๆ รายมักจะขายเมล็ดกาแฟออกไปหลังจากได้บ่มเอาไว้แล้วถึง 3 ปี และร้านที่ขึ้นชื่อเป็นพิเศษบางร้าน (เช่น "Toko Aroma" ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย) ถึงกับบ่มเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่วไว้ถึง 8 ปีทีเดียว
ต้นกาแฟอาราบิก้า - บราซิลกาแฟมีมากกว่า 6,000 พันธุ์ แต่พันธุ์หลักๆ ที่ได้รับความนิยมมี 2 พันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้า (Arabica) ซึ่งเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม และมีรสชาติดี และ โรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีปริมาณกาเฟอีนสูง และสามารถปลูกในที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ (คำว่า robust ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ทนทาน) ด้วยความที่มีความทนทานมากกว่านี้เอง จึงทำให้กาแพโรบัสต้ามีราคาถูกกว่า แต่ผู้คนนิยมดื่มไม่มากนักเนื่องจากมีรสขมและเปรี้ยว ส่วนโรบัสต้าที่มีคุณภาพดีมักถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ แบบผสม (เอสเพรสโซ่มีสองแบบใหญ่ๆ คือแบบที่เป็นอาราบิก้าแท้ๆ กับแบบที่ผสมกาแฟชนิดอื่นๆ)
กาแฟอาราบิก้ามักจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามชื่อท่าเรือที่ใช้ส่งออก ท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดสองที่ได้แก่ ม็อคค่า (Mocha) และ ชวา (Java) กาแฟในปัจจุบันยิ่งมีความเจาะจงในที่ปลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีการระบุถึงประเทศ ภูมิภาค และบางครั้งต้องบอกว่าปลูกที่พื้นที่บริเวณไหนเลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟอาจจะถึงกับต้องประมูลกาแฟกัน โดยดูว่าเป็นล็อตหมายเลขเท่าใด กาแฟชนิดโรบัสต้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดชนิดหนึ่งได้แก่ โกปิ ลูวัค (Kopi Luwak) ของอินโดนีเซีย เมล็ดของกาแฟชนิดนี้ถูกเก็บขึ้นมาจากมูลของชะมด (Common Palm Civet) (ตระกูล Paradoxirus)ซึ่งกระบวนการย่อยภายในร่างกายชะมดทำให้ได้รสชาติที่ดีเป็นพิเศษ เรียกเป็นภาษาไทยว่า กาแฟขี้ชะมด
แหล่งอ้างอิง
เอสเพรสโซ คือ กาแฟที่ถูกเตรียม ด้วยเครื่องเอสเปรสโซ แมชีน และใช้กาแฟคั่วระดับที่ เข้ม บดละเอียดให้รสชาติเข้มข้น นิยมใช้กาแฟอราบิก้า จะเสริฟในถ้วยขนาดเล็กไม่เกิน 1.5 ออนซ์ ซึ่งกาแฟเอสเปรสโซ่จะเป็นตัวเบสพื้นฐาน ในการชงกาแฟอื่น ๆ
กาแฟอเมริกันโน่ คือ กาแฟ เอสเพรสโซ + น้ำร้อน
กาแฟลาเต้ คือ กาแฟเอสเพรสเข้มข้นประมาณ 1.5 ออนซ์ + นมร้อน ประมาณ 6 ออนซ์และแต่งด้วยฟองนมเล็กน้อย ด้านบน รสชาติจะหอมละมุ่นด้วยกลิ่นนมและกาแฟ
กาแฟคาปุชิโน่ คือ กาแฟเอสเพรสโซ + นมร้อน 1 ส่วน และฟองนม 1 ส่วน และนิยมโรยหน้าด้วยผงซิเนม่อนหรือผงช็อคโกแลต
กาแฟมอคค่า คือ เอสเพรสโซ่ น้ำเชื่อมช็อคโกแลต นมร้อน และปิดหน้าด้วย วิปปิ้งครีม แต่งหน้าด้วยผงช็อคโกแลต
กาแฟเฟรนเพรส คือ การชงกาแฟด้วยแก้ว French Press เวลา ดื่มจะต้องกดก้านกรองของแก้วลงก้านตะแกรงกรองจะแยกชั้นระหว่างน้ำกาแฟและผง กาแฟ ซึ่งวิธีการชงแบบนี้จะพบได้ตามร้านอาหาร โฮมเมท ตามสุขุมวิทหรือสีลม
ลิงก์
เอสเพรสโซ (Espresso)
คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี “espresso” แปลว่า เร่งด่วน เอสเปรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสั่งกาแฟ “caffe” ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเปรสโซ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น “ซิงเกิ้ล” หรือ “ดับเบิ้ล” (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ
• คาปูชิโน (Cappuccino) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเปรสโซ และ นม การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย
• ลาเต้ (Latte)
เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ “Caffè e latte” ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า “café au lait” ในการชงกาแฟลาเต้ บาริสต้า (Barista:หรือผู้ชงกาแฟที่ชำนาญงาน) จะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยขณะที่รินนมและโฟมนมลงบนกาแฟ ทำให้เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art) หรือศิลปะฟองนมในถ้วยกาแฟ
• มอคค่า (Cafe Mocha)
เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่คล้ายกับกาแฟลาเต้คือมีเอสเพรสโซ่ 1/3 ส่วนและนมร้อน 2/3 ส่วน แต่แตกต่างกันที่มอคค่าจะมีส่วนผสมของช็อคโกแลตด้วย โดยมักจะใส่ในรูปของน้ำเชื่อมช็อคโกแลต เสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง มักมีวิปครีมปิดหน้า มอคค่า อาจหมายถึงกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
• อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (Café Americano)
คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ อเมริกาโนเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ แต่ไม่แก่และหนักถึงขั้นเอสเพรสโซ คอกาแฟส่วนใหญ่นิยมดื่มอเมริกาโนโดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟของอเมริกาโนซึ่งแตกต่างจากกาแฟธรรมดา
กาแฟดำ
เป็นการชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้ ผู้คนมักเข้าใจผิดว่ากาแฟดำกับเอสเพรสโซเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วกาแฟทั้งสองชนิดมีข้อแตกต่างกันหลายข้อ ข้อที่สำคัญคือ ถ้วยเสิร์ฟของเอสเพรสโซมีขนาดเล็กกว่า เพราะนิยมดื่มให้หมดในอึกเดียว ปกติแล้วเอสเพรสโซจะไม่ใส่น้ำตาลหรือนม และคนไม่นิยม เอสเพรสโซที่ชงถูกวิธีจะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน รสชาติของเอสเพรสโซจะติดปากหลังจากดื่มนานกว่า (15-30 นาที)
กาแฟโรบัสต้า เป็นกาแฟที่สามารถปลูกได้ง่าย ดูแลไม่ยากนัก มีความทนทานต่อโรคสูง กลิ่นของโรบัสต้าจะไม่ค่อยหอมมากนัก แต่มีรสชาติขมและเข้ม มีปริมาณคาเฟอีนอยู่ระหว่าง 2-4.5 % ส่วนใหญ่แล้วเมล็ดกาแฟโรบัสต้ามักนำไปทำเป็นกาแฟสำเร็จรูป และ Blend Coffee หรือการนำไปผสมกับเมล็ดกาแฟชนิดอื่นเพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นที่แปลกใหม่ แตกต่างออกไปจากเดิม
กาแฟอาราบิก้า เป็นกาแฟที่ต้องให้ความใส่ใจในการปลูกและการดูแลรักษาค่อนข้างมาก เพราะความทนทานต่อโรคและศัตรูพืชค่อนข้างต่ำ พื้นที่ที่ปลูกจะต้องมีความสูงอย่างน้อยหนึ่งพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีอุณหภูมิและความชื้นในอากาศที่พอเหมาะ อาราบิก้าเป็นกาแฟที่มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม ส่วนใหญ่จะนิยมนำมาทำกาแฟสดเพราะให้กลิ่นและรสชาติของกาแฟที่ดีเยี่ยม แม้ว่าความขมและเข้มจะสู้โรบัสต้าไม่ได้ก็ตาม แต่ก็มีข้อดีคือดื่มง่าย มีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 1%
กาแฟไลเบริก้า เป็นกาแฟที่สามารถปลูกและดูแลได้ง่ายเหมือนกับโรบัสต้า มีต้นกำเนิดของพันธุ์มาจากแอฟริกา เป็นพันธุ์กาแฟพื้นเมืองของแองโกล่า ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีการนำไลเบริก้าเพียงอย่างเดียวมาทำเป็นกาแฟสำหรับดื่ม เพราะคุณภาพของกาแฟไม่ดีนัก จึงมักจะถูกนำไปผสมกับเมล็ดกาแฟชนิดอื่นเพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติที่มีความแตกต่างออกไป