Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กาแฟ (การผลิตกาแฟ (แหล่งที่มา (https://www.google.co.th/search?source=hp&a…
กาแฟ
การผลิตกาแฟ
-
การบ่ม
ในการผลิตกาแฟ วิธีที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนักวิธีหนึ่งได้แก่การบ่ม (Aging) กาแฟหลายๆ ประเภทจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบ่ม รสเปรี้ยวของมันจะลดลง ในขณะที่ความกลมกลืนของรสชาติโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตหลายๆ รายมักจะขายเมล็ดกาแฟออกไปหลังจากได้บ่มเอาไว้แล้วถึง 3 ปี และร้านที่ขึ้นชื่อเป็นพิเศษบางร้าน (เช่น "Toko Aroma" ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย) ถึงกับบ่มเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่วไว้ถึง 8 ปีทีเดียว
การบด
ความละเอียดของกากที่ได้จากการบดมีผลอย่างมากต่อรสชาติ ยิ่งบดกาแฟละเอียดเท่าไร ก็จะยิ่งได้รสชาติที่เข้มข้นและครบบริบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น เหตุผลหลักที่บางคนไม่บดละเอียดมากนัก คือเพื่อไม่ให้กากสามารถผ่านตัวกรองชนิดหยาบๆ ออกไปได้ (เช่น cafetière) การผลิตกากกาแฟพร้อมชงมีสามวิธีด้วยกัน
การโม่: กดเมล็ดโดยใช้อุปกรณ์หมุนสองตัว ใช้การหมุนเพื่อให้เมล็ดแตก วิธีนี้มีความเสี่ยงน้อยที่เมล็ดจะไหม้ เครื่องบดอาจมีลักษณะเป็นแบบล้อหรือแบบกรวย โดยที่แบบกรวยจะทำงานได้เงียบกว่าและมีโอกาสเกิดการอุดตันน้อยกว่า
Grinder แบบกรวยช่วยรักษากลิ่นส่วนใหญ่ไว้ได้ และสามารถบดได้ละเอียดมาก อีกทั้งกากที่ได้ก็จะมีความละเอียดสม่ำเสมอกันอีกด้วย โม่ที่ทำจากเหล็กซึ่งมีการออกแบบที่ยุ่งยากซับซ้อน อาจทำให้ลดประสิทธิภาพของเฟืองลง ส่งผลให้การบดทำได้ช้าลง ยิ่งการบดช้าลงเท่าไร ก็ยิ่งมีความร้อนเข้าไปในกากกาแฟน้อยลงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรักษากลิ่นไว้ได้อย่างดี เนื่องจากสามารถปรับความละเอียดได้หลายระดับมา การบดวิธีนี้จึงเหมาะกับกาแฟทุกประเภท ทั้งแบบที่ทำด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ (Espresso) แบบหยด (Drip) แบบใช้เครื่องต้มให้น้ำซึมเข้า (Percolator) และแบบเฟรนช์เพรส (French Press) เครื่องโม่แบบกรวยที่คุณภาพดียังสามารถบดให้ละเอียดเป็นพิเศษสำหรับใช้ในการทำกาแฟแบบตุรกี ความเร็วในการบดโดยทั่วไปไม่เกิน 500 รอบต่อนาที
เครื่องโม่ประเภทจานหมุน สามารถบดได้รวดเร็วกว่าแบบกรวย (10,000 ถึง 20,000 รอบต่อนาที) และจะส่งผลให้มีความร้อนเข้าไปในกาแฟเล็กน้อย เครื่องแบบนี้เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดในการผลิตกากละเอียดสม่ำเสมอ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายแบบ กากแบบนี้เหมาะสมมากกับเครื่องชงเอสเพรสโซ่แบบปัมป์ตามบ้าน อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถบดให้ละเอียดได้เท่ากับเครื่องแบบกรวย
การสับ: 'เครื่องบด'สมัยใหม่มักใช้วิธีการหั่นเมล็ดกาแฟออกเป็นชิ้นๆ ถึงแม้จะให้ผลเหมือนกับการบดดีๆ โดยทั่วไป คนที่พิถีพิถันมักตำหนิว่าวิธีนี้ให้กาแฟคุณภาพสู้วิธีแบบเก่าไม่ได้
เครื่องบดแบบใบมีด “ปั่น” เมล็ดให้ละเอียดโดยใช้ใบมีดหมุนด้วยความเร็วสูง (20,000 ถึง 30,000 รอบต่อนาที) กากกาแฟที่ได้จะไม่ละเอียดสม่ำเสมอ และจะได้รับความร้อนมากกว่าการใช้เครื่องโม่ เครื่องบดใบมีดจะก่อให้เกิด “ฝุ่นกาแฟ” ซึ่งอาจทำให้ตะแกรงร่อนของเครื่องชงเอสเพรสโซและเครื่องชงเฟรนช์เพรสเกิดการอุดตันได้ ดังนั้นเครื่องบดแบบนี้ จึงเหมาะสมกับเฉพาะเครื่องชงแบบหยด และมันยังสามารถใช้บดเครื่องเทศและสมุนไพรได้เป็นอย่างดี เครื่องชนิดนี้ไม่ควรใช้กับเครื่องชงเอสเพรสโซแบบปัมป์
-
การเก็บรักษา
- เก็บในภาชนะทึบ-ป้องกันแสงแดด ปิดสนิท-ป้องกันอากาศและความชื้น ตัวอย่างเช่น กระปุกเซรามิกแบบฝามีซิลยาง
ไม่แนะนำให้เก็บในถุงกาแฟแล้วใช้แค่ลวดหรือที่หนีบปิดปากถุง เพราะไม่แน่นหนาพอจะป้องกันอากาศ+ความชื้นได้
ถ้าต้องการเก็บในถุงกาแฟ ให้พับปากถุงหลายๆ ชั้นแล้วปิดทับด้วยเทปกาวหรือมัดด้วยยางให้แน่นหนา แล้วเก็บในกระปุกที่กันอากาศได้อีกชั้นหนึ่ง
- เก็บไว้ให้ห่างจากแหล่งความร้อน หากหีบห่อแน่นหนาพอป้องกันกลิ่นและความชื้นได้ จะเลือกเก็บในตู้เย็นก็ได้
- ใช้เสร็จทุกครั้งต้องปิดภาชนะในทันที
- ถ้ามีเครื่องบด ให้บดเท่าที่ต้องใช้ครั้งต่อครั้ง บดแล้วใช้ให้หมดในคราวเดียว เพราะกาแฟที่บดแล้วจะสูญเสียกลิ่นและรสชาติได้ไวกว่ากาแฟที่เป็นเมล็ด
- ถ้าไม่มีเครื่องบดและสั่งซื้อกาแฟบดแล้ว ให้ระมัดระวังในการเก็บรักษาโดยเฉพาะการเปิด-ปิด ภาชนะ เพื่อรักษาคุณภาพไว้ให้นานที่สุด
- ควรเก็บเมล็ดกาแฟ หรือกาแฟบดในภาชนะทึบ เพื่อช่วยป้องกันแสงแดดเพราะเชื่อกันว่าแสงอาทิตย์ทำให้กลิ่นระเหยเร็วและความสดหายไป และปิดสนิทเพื่อป้องกันอากาศและความชื้น อาจใช้ กระปุกเซรามิกแบบฝามีซิลยาง แต่ไม่แนะนำให้เก็บในถุงกาแฟแล้วใช้แค่ลวดหรือที่หนีบปิดปากถุง เพราะไม่มีความแน่นหนาพอจะป้องกันอากาศ+ความชื้นได้ ซึ่งหากต้องการเก็บในถุงกาแฟ ให้พับปากถุงหลาย ๆ ชั้นแล้วปิดทับด้วยเทปกาวหรือมัดด้วยยางอย่างหนาแน่น และนำมาเก็บในกระปุกที่กันอากาศได้อีกชั้นหนึ่ง
- เก็บถุงหรือขวดกาแฟไว้ให้ห่างจากแหล่งความร้อน หากหีบห่อแน่นหนาพอป้องกันกลิ่นและความชื้นได้ อย่าลืมว่าหากใช้เสร็จทุกครั้งจะต้องรีบปิดภาชนะในทันที ไม่ควรนำกาแฟเก็บในตู้เย็น แม้ว่ากาแฟบางยี่ห้อจะแนะนำให้แช่เย็นก็ตาม เพราะความเย็นทำให้รสชาติของกาแฟเสีย และเมื่อเอาขวดออกจากตู้เย็นอาจทำให้เกิดความชื้นในขวดได้
- หากมีเครื่องบด ให้บดเท่าที่ต้องใช้ครั้งต่อครั้ง โดยเมื่อมีการบดแล้วก็ต้องใช้ให้หมดในคราวเดียว เพราะกาแฟที่บดแล้วจะสูญเสียกลิ่นและรสชาติได้ไวกว่ากาแฟที่เป็นเมล็ด แต่หากไม่มีเครื่องบดและสั่งซื้อกาแฟบดแล้ว ก็ให้ระมัดระวังในการเก็บรักษาโดยเฉพาะการเปิด-ปิด ภาชนะ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพไว้ให้นานที่สุด
การเก็บรักษากาแฟมีข้อควรคำนึงถึงอยู่ 4 อย่างคืออากาศ
ความชื้น
แสง
และความร้อน
เพราะเป็นเหล่านี้ตัวเปลี่ยนรสชาติ และความหอมของกาแฟ.. การเก็บรักษาจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวคำแนะนำทั่วๆ ไปในการเก็บรักษาก็มีดังนี้ควรเก็บกาแฟไว้ในขวดแก้วปิดสนิท เพราะแก้วไม่ทำให้รสชาดและกลิ่นกาแฟโดนเจือปน ควรวางขวดไว้ในที่เย็นและไม่โดนแดดเพราะเชื่อกันว่าแสงอาทิตย์ทำให้กลิ่นระเหยเร็วและความสดหายไป
ไม่ควรนำกาแฟเก็บในตู้เย็น แม้ว่ากาแฟหลายยี่ห้อจะแนะนำให้แช่เย็นก็ตาม เพราะความเย็นทำให้รสชาดกาแฟเสีย และเมื่อเอาขวดออกจากตู้เย็นจะทำให้เกิดความชื้นในขวดได้
ถ้าเป็นไปได้ ควรซื้อเมล็ดกาแฟคั่วที่ยังไม่ได้บด เพราะมีพื้นผิวสัมผัสอากาศน้อยกว่ากาแฟที่บดแล้ว จึงเก็บรักษาได้นานกว่า ได้รสชาดและกลิ่นที่หอมกว่า
เมล็ดกาแฟควรนำมาบดเมื่อต้องการจะชง ในปริมาณที่ต้องการดี่ม .. ไม่ควรบดทิ้งไว้ล่วงหน้านานๆ เพราะถ้าทิ้งกาแฟไว้นานจะถูกอากาศนานเกินไป ทำให้กาแฟไม่สด
หากไม่มีเครื่องบดกาแฟ ควรจะซื้อเป็นเมล็ดกาแฟแล้วให้ร้านค้าบดให้ ปริมาณที่ซื้อกะให้พอดีที่จะดื่มในหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ดื่มกาแฟที่สดเสมอ
coffee bagบทความดีๆจาก http://www.foodietaste.com/mustknow_detail.asp?id=330
-
กาแฟเป็นเครื่องดื่มการเก็บรักษากาแฟที่ดีจะทำให้กาแฟยังคงสดใหม่ และช่วยคงรสชาดและความหอมของกาแฟไว้ได้นาน
การเก็บรักษากาแฟมีข้อควรคำนึงถึงอยู่ 4 อย่างคือ อากาศ ความชื้น แสง และความร้อน เพราะเป็นตัวเปลี่ยนรสชาติ และความหอมของกาแฟ.. การเก็บรักษาจึงควรหลีกเลี่ยงทั้ง 4 อย่างนี้..คำแนะนำทั่วๆ ไปในการเก็บรักษาก็มีดังนี้
ควรเก็บกาแฟไว้ในขวดแก้วปิดสนิท เพราะแก้วไม่ทำให้รสชาดและกลิ่นกาแฟโดนเจือปน
ควรวางขวดไว้ในที่เย็นและไม่โดนแดดเพราะเชื่อกันว่าแสงอาทิตย์ทำให้กลิ่นระเหยเร็วและความสดหายไป
ไม่ควรนำกาแฟเก็บในตู้เย็น แม้ว่ากาแฟหลายยี่ห้อจะแนะนำให้แช่เย็นก็ตาม เพราะความเย็นทำให้รสชาดกาแฟเสีย และเมื่อเอาขวดออกจากตู้เย็นจะทำให้เกิดความชื้นในขวดได้
ถ้าเป็นไปได้ ควรซื้อเมล็ดกาแฟคั่วที่ยังไม่ได้บด เพราะมีพื้นผิวสัมผัสอากาศน้อยกว่ากาแฟที่บดแล้ว จึงเก็บรักษาได้นานกว่า ได้รสชาดและกลิ่นที่หอมกว่า
เมล็ดกาแฟควรนำมาบดเมื่อต้องการจะชง ในปริมาณที่ต้องการดี่ม .. ไม่ควรบดทิ้งไว้ล่วงหน้านานๆ เพราะถ้าทิ้งกาแฟไว้นานจะถูกอากาศนานเกินไป ทำให้กาแฟไม่สด
หากไม่มีเครื่องบดกาแฟ ควรจะซื้อเป็นเมล็ดกาแฟแล้วให้ร้านค้าบดให้ ปริมาณที่ซื้อกะให้พอดีที่จะดื่มในหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ดื่มกาแฟที่สดเสมอ
เมล็ดกาแฟคั่วถือว่าเป็นสินค้าที่เสื่อมคุณภาพค่อนข้างเร็ว โดนธรรมชาติของเมล็ดกาแฟคั่วจะมีการคายก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกมามากใน ช่วง 1-3 วัน หลังคั่ว และจะค่อยๆลดระกับการคายก๊าซลงเรื่อยๆพร้อมกับการเสื่อมคุณภาพ เมล็ดกาแฟคั่วจะมีคุณภาพดีที่สุดในช่วง 3-15 วันหลัง คั่วและมีอายุการเก็บรักษาเพียง 1-3 เดือนเท่านั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการเก็บรักษาและภาชนะที่ใช้บรรจุ ดังนั้นควรมีการวางแผนสต๊อกของเมล็ดกาแฟคั่วให้ดี
ประเภทของกาแฟ
กาแฟดำ
เป็นการชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้ ผู้คนมักเข้าใจผิดว่ากาแฟดำกับเอสเพรสโซเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วกาแฟทั้งสองชนิดมีข้อแตกต่างกันหลายข้อ ข้อที่สำคัญคือ ถ้วยเสิร์ฟของเอสเพรสโซมีขนาดเล็กกว่า เพราะนิยมดื่มให้หมดในอึกเดียว ปกติแล้วเอสเพรสโซจะไม่ใส่น้ำตาลหรือนม และคนไม่นิยม เอสเพรสโซที่ชงถูกวิธีจะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน รสชาติของเอสเพรสโซจะติดปากหลังจากดื่มนานกว่า (15-30 นาที) 
-
มอคค่า
โมคา หรือ มอคา (อังกฤษ: mocha) หรือ โมคัชชีโน (อิตาลี: mocaccino) เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่คล้ายกับลาตเท กล่าวคือ มีเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อน 2/3 ส่วน แต่แตกต่างกันที่โมคาจะมีส่วนผสมของช็อกโกแลตด้วย โดยมักจะใส่ในรูปน้ำเชื่อมช็อกโกแลต เสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง มักมีวิปครีมปิดหน้าโมคายังหมายถึงกาแฟอะแรบิกาชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณเมืองท่าโมคาในประเทศเยเมน กาแฟโมคามีสีและกลิ่นคล้ายช็อกโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของช็อกโกแลตในโมคาเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟโมคาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย 
-
กาแฟขาว
กาแฟขาว (อังกฤษ: white coffee) เป็นชาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ค้นพบที่เมืองเบรุต นิยมดื่มกันมากในประเทศเลบานอนและซีเรีย และนิยมทานคู่กับ ขนมหวาน ในประเทศทางยุโรปบางประเทศ จะกล่าวถึง ไวต์คอฟฟี (white coffee) ในลักษณะของกาแฟใส่นม ในขณะเดียวกันไวต์คอฟฟีในสหรัฐอเมริกาจะหมายถึง กาแฟที่กลั่นไว้นานจนมีสีคล้ายกับสีเหลือง 
-
กาแฟสไตล์เวียดนาม
กาแฟสไตล์เวียดนาม เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้จากการชงแบบหยด ชงโดยการหยดน้ำผ่านตะแกรงโลหะลงไปในถ้วย ซึ่งมีผลให้ได้น้ำกาแฟเข้มข้น จากนั้นนำไปเทผ่านน้ำแข็งลงไปในแก้วที่เติมนมข้นหวานไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากการชงกาแฟประเภทนี้ใช้กากกาแฟปริมาณมาก จึงทำให้การชงกินระยะเวลานาน 
-
อัฟโฟกาโต
อัฟโฟกาโต (อิตาลี: affogato, แปลว่า "จม" หรือ "ถูกทำให้จม") หรือ อัฟโฟกาโตอัลคัฟแฟะ (affogato al caffè, แปลว่า "จมลงในกาแฟ") เป็นของหวานชนิดหนึ่งที่มีกาแฟเป็นส่วนประกอบพื้นฐาน[1] โดยทั่วไปทำได้โดยตักเจลาโตหรือไอศกรีมกลิ่นรสวานิลลา 1 ช้อนควักใส่ถ้วย แล้วราดเอสเปรสโซร้อนลงไป 1 ช็อต เมื่อของหวานชนิดนี้มีวิวัฒนาการไปตามกาลเวลา ในปัจจุบันจึงเป็นที่ยอมรับได้เช่นกันหากจะเพิ่มปริมาณไอศกรีมเป็นหลายช้อนควัก บางสูตรยังใช้บีเชริง (เครื่องดื่มกาแฟผสมช็อกโกแลตชนิดหนึ่ง), เหล้าอามาเรตโต หรือเหล้าชนิดอื่น ๆ อีก 1 ช็อตด้วย 
-
ประวัติความเป็นมาของกาแฟ
การเดินทางของกาแฟ จากอดีตจนถึงวันนี้
ต้นกาแฟ ค้นพบครั้งแรกใน เอธิโอเปีย (Ethiopia) เนื่องจากชายเลี้ยงแพะสังเกตุเห็นแพะที่เลี้ยงอยู่มีอาการกระปรี้กระเปร่า เป็นพิเศษ หลังจากได้กินผลสีแดงคล้ายเชอรี่ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ชายเลี้ยงแพะจึงลองเก็บผลชนิดนั้นมาลองกินดูบ้าง ปรากฎว่าเกิดอาการเช่นเดียวกับแพะ ข่าวดังกล่าวแพร่หลายอย่างรวดเร็วจนกระทั่งทราบไปถึงผู้สอนศาสนาที่รู้ถึง ความมหัศจรรย์ของผลสีแดงนี้ พระผู้สอนศาสนาจึงทดลองนำผลเชอรี่ดังกล่าวไปแช่น้ำและดื่มน้ำนั้นดู ทำให้เกิดความรู้สึกกระฉับกระเฉง เหตุนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของการดื่มน้ำผลเชอรี่หรือผลกาแฟนั่นเอง ความนิยมของกาแฟเริ่มแพร่กระจายในอาหรับมากขึ้น กระทั่งในปี ค.ศ.1534 สุลตานแห่งอิสตันบูล นามว่า ออสโตมัส สั่งประกาศให้ เป็นสิ่งผิดกฏหมาย แต่เหมือนยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุหนึ่งปีต่อมากาแฟเป็นที่นิยมมากขึ้นและมีร้านกาแฟเกิดขึ้น เป้นพี่พบปะของเหล่านักคิด นักปราชญ์ศิลปินรวมเหล่านักคิด ศิลปินแต่องค์กรศาสนากับมองว่าร้านกาแฟเป็นที่ซ่องซุมทำให้คนไม่สนใจศาสนา จึงประกาศว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มสีดำมืดของปีศาจซาตาน คนนิยมในกาแฟจึงลดลง กระทั่งยุคของสมเด็จสันปะปาคลีเมนที่ 13ได้ทดลองเครื่องดื่มดังกล่าว และประกาศว่าแท้จริงแล้วกาแฟมิได้เป็นอย่างข้อกล่าวหา กาแฟจึงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นการดื่มกาแฟ เริ่มแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง ต่อมามีการนำผลกาแฟไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรป ทำให้เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว
ในปี ค.ศ. 1700 เริ่มมีการนำต้นกาแฟไปปลูกแถบอเมริกาใต้ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมปลูกกันมากในระยะเวลาต่อมา ปัจจุบันพื้นที่แถบอเมริกาใต้ปลูกกาแฟมากกว่า 19 ล้านตัน
กาแฟโดยแหล่งกำเนิดแล้วเป็นพืชพื้นเมืองของอาบีซีเนีย (Abyssinia) และอาราเบีย (Arabia) ถูกค้นพบในศตวรรษที่ 6 ราวปี ค.ศ. 575 ในประเทศอาระเบีย (Arabia) และในขณะเดียวกันบางท่านก็กล่าวว่ากาแฟเป็นพืชพื้นเมืองที่พบในเมืองคัพฟา (Kaffa) ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศเอธิโอเปีย (Ethiopia) กาแฟจึงได้ชื่อเรียกตามจังหวัดนี้ และยังได้เรียกแตกต่างกันออกไปอีกมาก แหล่งกำเนิดเดิมของกาแฟมาจากประเทศอาบีซีเนีย หรือแถบประเทศอาราเบียน หรือประเทศอาหรับ ตะวันออกกลาง สมัยนั้นไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเท่าใดนักจนกระทั่งล่วงเลยมาถึงศตวรรษที่ 9 มีการเลี้ยงแพะชาวอาราเบียคนหนึ่งชื่อ คาลดี (Kaldi) นำแพะออกไปเลี้ยงตามปกติ แพะได้กินผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งเข้าไปแล้วเกิดความคึกคะนองผิดปกติ จึงได้นำเรื่องไปเล่าให้ชาวมุสลิมท่านหนึ่งฟัง จึงได้นำผลของต้นไม้นั้นมากะเทาะเปลือกเอาเมล็ดไปคั่วแล้วต้มในน้ำร้อนดื่มเห็นว่ามีความกระปรี้กระเปร่า จึงนำไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อไป ชาวอาราเบียจึงได้เริ่มรู้จักต้นกาแฟมากขึ้น จึงทำให้กาแฟแพร่หลายเพิ่มขึ้นจากประเทศอาราเบีย เข้าสู่ประเทศอิตาลี เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส
เป็นที่เชื่อกันว่าบรรพบุรุษชาวเอธิโอเปียของชาวโอโรโมในปัจจุบัน เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งรู้จักผลกระทบกระตุ้นประสาทของเมล็ดจากต้นกาแฟอย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานโดยตรงซึ่งชี้ชัดว่าต้นกาแฟมีการปลูกอยู่ที่ใดในทวีปแอฟริกา หรือผู้ใดในกลุ่มชาวพื้นเมืองซึ่งอาจใช้มันเป็นสารกระตุ้น หรือแม้แต่รู้ถึงผลกระทบนั้น ก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 17เรื่องราวของ คาลดี เด็กเลี้ยงแกะชาวเอธิโอเปียในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ผู้ซึ่งค้นพบต้นกาแฟนั้น มิได้ปรากฏชื่อในงานเขียนจนกระทั่งถึง คริสต์ศักราช 1671 หรืออาจเป็นเพียงเรื่องปลอมเท่านั้น จากเอธิโอเปีย สันนิษฐานว่ากาแฟได้แพร่กระจายไปยังเยเมน ที่ซึ่งมีการดื่มและผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นได้แพร่ไปยังอียิปต์ ในขณะที่ หลักฐานซึ่งเชื่อถือได้สามารถสืบย้อนไปได้ไกลที่สุด ถึงการดื่มกาแฟในวิหารซูฟีในม็อคค่าในเยเมนที่ซึ่งในอาระเบีย ได้มีการคั่วและชงเมล็ดกาแฟเป็นครั้งแรก อันเป็นวิธีที่คล้ายคลึงกับการเตรียมกาแฟ ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 16 กาแฟได้แพร่ขยายไปทั่วถึงตะวันออกกลาง เปอร์เซีย ตุรกี และแอฟริกาเหนือ
แหล่งกำเนิดเดิมของกาแฟมาจากประเทศอาบีซีเนีย หรือแถบประเทศอาราเบียน หรือประเทศอาหรับ ตะวันออกกลาง สมัยนั้นไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเท่าใดนักจนกระทั่งล่วงเลยมาถึงศตวรรษที่ 9 มีการเลี้ยงแพะชาวอาราเบียคนหนึ่งชื่อ คาลดี (Kaldi) นำแพะออกไปเลี้ยงตามปกติ แพะได้กินผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งเข้าไปแล้วเกิดความคึกคะนองผิดปกติ จึงได้นำเรื่องไปเล่าให้พระImageมุสลิมองค์หนึ่งฟัง พระองค์นั้นจึงได้นำผลของต้นไม้นั้นมากะเทาะเปลือกเอาเมล็ดไปคั่วแล้วต้มในน้ำร้อนดื่มเห็นว่ามีความกระปรี้กระเปร่า จึงนำไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อไป
ชาวอาราเบียจึงได้เริ่มรู้จักต้นกาแฟมากขึ้น จึงทำให้กาแฟแพร่หลายเพิ่มขึ้นจากประเทศอาราเบีย เข้าสู่ประเทศอิตาลี เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส
กาแฟถูกใช้เป็นอาหารและยารักษาโรคในสมัยโบราณมาก่อน
ในระยะแรกก่อนที่มีการใช้กาแฟเป็นเครื่องดื่มกระตุ้นกำลังและคลายความเหนื่อยล้า คนโบราณใช้กาแฟเป็นอาหารและเป็นยารักษาโรค โดยจะนำเมล็ดกาแฟที่แห้งแล้วนำมาบด และนำไปผสมกับน้ำมัน ปั้นเป็นลูก แล้วนำมารับประทาน นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการใช้เมล็ดกาแฟนำไปหมักเป็นไวน์อีกด้วย จากนั้นก็มีการนำเมล็ดกาแฟมาคั่ว และนำมาชงเป็นเครื่องดื่มแสนอร่อย และเริ่มแพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยในศตวรรษที่ 13 กาแฟคั่วกลายเป็นสินค้าที่สร้างผลกำไรอย่างมากมายให้กับดินแดนอาราเบีย จากนั้นเมล็ดกาแฟคั่วก็ถูกนำไปยังประเทศตุรกีในปี ค.ศ.1554 จากตุรกีก็เผยแพร่ไปที่อิตาลีในปี ค.ศ. 1615 จากอิตาลีไปยังประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1644 และหลังจากนั้นไม่นาน วัฒนธรรมการดื่มกาแฟก็แพร่กระจายไปทั่วยุโรป
-
-