Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การทำงานของทีมนักสหวิชาชีพ (รูปแบบการทำงานเป็นอย่างไร ? ((Philippe…
การทำงานของทีมนักสหวิชาชีพ
รูปแบบการทำงานเป็นอย่างไร ?
(Philippe Tremblay, 2007)
Multidisciplinarity
ขัอจำกัด
The concerns of others groups having lower priority
Use of a particular vocabulary create problems
of communication.
They work for different agencies which are funded in different ways and have different priorities
Tensions because of differences in perceived status, management arrangements or workload.
Code of confidentialitydifficult to share records or information
รูปแบบการทำงาน
Several disciplines or professionals work in parallel
Complementarity between disciplines and professionals: neither can only answer to the whole problem
Institutional identity few interactions between professionals
Families receive information from various professionals separately
Interdisciplinarity
รูปแบบการทำงาน
Specialists working together (and not in parallel), with families and the disabled persons
The exchange between the various stakeholders in a coordinated manner
The objectives are shared and information is shared to achieve them
A coordinator will share information and its transmission to recipients
Everyone brings her own professional skills to achieve the goal.
Everyone plays her own role within the team, everyone has her own responsibilities
There is no transfer of skills from one speaker to another
ข้อจำกัด
Everything can’t be decided as a team.
Each professional must be able to take decisions
not only about his practice
Interdisciplinary should not be used to dilute the Professional Liability
The division of labor may cause conflicts
The prejudices between the professions are sometimes tenacious
The team became dependent on each member’s competence
The need deal with team members’ personalities
Transdisciplinarity
รูปแบบการทำงาน
The roles can be shared, there may be transfer of powers
One or two people may be responsible for all the goals
Each member accepts to share knowledge
Decision-making is always collective
Erasing boundaries between disciplines
เอกสารประกอบการสอนวิชาการจัดการปัญหาพฤติกรรมในชั้นเรียนของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
Multidisciplinary approach
รูปแบบการทำงาน
กระบวนการทำงานเป็นทีมที่ประกอบด้วยสมาชิกจากหลาย ๆ สาขาวิชาชีพ โดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนวางแผนให้ความ
ช่วยเหลือตามสาขาวิชาชีพของตนเอง
มักจะทำงานประสานกับครอบครัวโดยตรง
ข้อเสีย
มีการติดต่อสื่อสารระหว่างทีมค่อนข้างน้อย
สมาชิกไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของทีมการช่วยเหลือ
Interdisciplinary approach
รูปแบบการทำงาน
กระบวนการทำงานเป็นทีมที่ประกอบด้วยสมาชิกจากหลาย ๆ สาขาวิชาชีพ โดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนประชุมและ
แบ่งความรับผิดชอบ
กันตามความเชี่ยวชาญของตน
มีการประชุมแลกเปลี่ยนกันอย่างสม่ำเสมอ
สมาชิกในทีมประเมินเด็กตามความเชี่ยวชาญของตนเอง และนำข้อมูลมาสรุปและวางแผนกันในทีม
มี case manager เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างสมาชิกในทีม
Transdisciplinary approach
รูปแบบการทำงาน
สมาชิกในทีมมีการประชุมหารือกันอย่างสม่ำเสมอ
สมาชิกได้รับมอบหมายงานตามความถนัดของตนเอง
มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างสาขาวิชาชีพ
ผู้ปกครองเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในทีม
ลักษณะของการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพมีอะไรบ้าง ?
(Wood Cock,1989)
บทบาทที่สมดุล
บทบาทที่สมดุล เกิดจากการผสมผสานความแตกต่างของความสามารถโดยใช้ ความแตกต่างของบุคลิกภาพ และวิธีการที่หลากหลายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ต้องอาศัยความกลมกลืนและบทบาทสมดุลของสมาชิกในทีมงาน ผู้บริหารที่จะสร้างทีมงาน ต้องหาจุดสมดุลสูงสุดของทักษะ และความสามารถของสมาชิกในกลุ่ม
วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน
การบริหารงานที่เปิดโอกาสให้บุคคลมีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบายและ แนวทางปฏิบัติ จะส่งผลให้บุคลากรเกิดขวัญและกําลังใจในการทํางาน มีความรู้สึกในความเป็นเจ้าของ เกิดความภูมิใจในงานที่ได้กระทํา มีความขยันขันแข็ง กระตือรือร้นที่จะคิดสร้างสรรค์งาน ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทําให้การทํางานเกิดประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ
การเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อการแก้ไขปัญหา
สมาชิกในทีมงานจะต้องสามารถแสดงทัศนาวิจารณ์ ให้ความคิดเห็นเสนอแนะ ข้อแตกต่างโดยปราศจากความกลัว
การสนับสนุนและการไว้วางใจต่อกัน
บุคลากรในโรงเรียนตระหนักว่าผู้นํา หรือผู้บริหารมีความจริงใจ องค์การก็จะก้าวหน้าไป ทําให้บุคลากรในองค์การให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อทํางานให้บรรลุวัตถุขององค์การ แต่ละคน ในองค์การจะเข้าใจ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างงานของตนเองกับของคนอื่นๆ และพร้อมที่จะรับและให้ ความช่วยเหลือร่วมมือร่วมใจอย่างจริงใจ ทําให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ความร่วมมือและการใช้ขัดแย้งในทางสร้างสรรค์
คนเป็นปัจจัย สําคัญที่สุดในการดําเนินงาน แต่เนื่องจากความแตกต่างระหว่างบุคคลไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ ความเชื่อ ความนิยม ความรู้ ความสามารถในการทํางานหรือเป้าหมายในการทํางานท่ีต่างกัน เหล่านี้ มีส่วนทําให้เกิดความขัดแย้งในการทํางานได้ทั้งสิ้น ผู้บริหารทุกระดับจึงจําเป็นต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้เป็นไปในลักษณะ สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์กับหน่วยงานด้วย
กระบวนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน
ผู้บริหารจะต้องสร้าง และพัฒนาการทํางานเป็นทีมอยู่เสมอ เพื่อให้แต่ละคนเห็นความสําคัญของงาน และผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าความสําคัญของบุคคล หรือผลประโยชน์ส่วนบุคคล ทีมงานที่ดีจะเปรียบเสมือนพลังในการปฏิบัติงาน ของผู้บริหารให้ประสบความสําเร็จ
ภาวะผู้นําที่เหมาะสม
พฤติกรรมผู้นำที่เหมาะสม (Appropriate Leadership)ขึ้นอยู่กับความต้องการ ทักษะ ความชํานาญของผู้ร่วมงาน ลักษณะงานและข้อจํากัดของสภาพแวดล้อมขององค์การนั้น
การทบทวนการปฏิบัตงิานอย่างสม่ำเสมอ
เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของทีมงาน ช่วยให้ทีมงานได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การหรือหน่วยงาน 2 ประการ คือ ผู้ทํางานทราบถึงผลงานที่คนรับผิดชอบ และในแง่ของ ตัวองค์การก็จะได้ข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถรู้ได้ว่า งานที่ทําทั่วไปแล้วนั้น ทําได้ดีเพียงใด ซึ่งการรู้ ดังกล่าวนี้เอง จะทําให้การควบคุมสั่งการต่างๆ สามารถกระทําได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาตนเอง
พัฒนาบุคลากร หรือพัฒนาสมาชิกภาพของบุคคลในทีมงาน โดยการฝึกอบรมการให้การศึกษา การพัฒนา เป็นกลุ่ม เพราะถือว่าบุคคลแต่ละคนมีส่วนช่วยให้องค์การดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
กลุ่มทํางานใดมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในลักษณะสนิทสนมหรือแน่นแฟ้น พฤติกรรมของกลุ่มหรือทีมจะเป็นไปในทางที่ดี สมาชิกของทีมต่างก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน และทุกคนก็จะทุ่มเทความสําคัญ เวลาทํางานให้กับกลุ่มหรือทีมงานมากขึ้น
การสื่อสารที่ดี
การสื่อสารที่ดี จะมีผลให้เกิด ความเข้าใจ ความร่วมมือ และการประสานงานที่ดีด้วยแผนงานต่างๆ จะได้รับการปฏิบัติมากน้อยเพียงใด ย่อมข้ึนอยู่กับผู้ปฏิบัติ การสื่อสาร จึงเป็นวิธีการเดียวที่สามารถกระตุ้นให้เขาปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
(Philippe Tremblay, 2007)
Effective multi-disciplinary
A distinctive discipline-based knowledge base
Being confident in one’s area of expertise without being arrogant
Being clear about the rationale, the scope, the boundaries and the limitations of one’s own knowledge base
Skills for collaboration
Partnership
Negotiating
Networking
Communicating
Reframing
Confronting
Flexibility
Values
Client-counterdness
Respect for colleagues and for service users
Openness
ในทีมนักสหวิชาชีพมีใครบ้าง ?
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๑๖ / เรื่องที่ ๑๐ การฟื้นฟูสมรรถภาพเยาวชนผู้พิการด้านการศึกษา / บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูสมรรถภาพเยาวชนผู้พิการ
ครูการศึกษาพิเศษ
เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมมาเป็นพิเศษเฉพาะ เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการทั่วไป และพัฒนาการเฉพาะของเยาวชนผู้พิการ เทคนิคการสอนพิเศษ การใช้สื่อเครื่องมือ อุปกรณ์พิเศษ การตรวจสอบ และประเมินเด็กพิเศษ การกำหนดหลักสูตร และการให้คำปรึกษาแนะนำแก่ทั้งครูปกติ เด็กพิการ และพ่อแม่ ทั้งยังมีหน้าที่ให้บริการทั้งทางตรง และทางอ้อมแก่เยาวชนผู้พิการ และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ สอนเสริม หรือสอนซ่อมเสริมทักษะต่างๆ ให้กับเด็กพิการโดยตรง และ/หรือช่วยครูปกติจัดเตรียม และจัดหาสื่อวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือพิเศษ ประสานงานบริการด้านอื่นๆ จัดหรือให้การอบรมแก่ผู้บริหารและครูทุกคนในโรงเรียน ติดตามความก้าวหน้าของเด็ก
ครูปกติ
เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมให้มีความรู้ในด้านการสอนเด็กปกติ และควรได้รับข้อมูล หรือการฝึกอบรมให้มีความรู้พื้นฐาน และความเข้าใจในการสอนเด็กพิการเรียนร่วม ครูปกติมีหน้าที่ดำเนินโปรแกรมการเรียนการสอน และทำหน้าที่ประเมินผล จึงจำเป็นต้องหาเทคนิควิธีการสอน สื่อต่างๆ เพื่อช่วยให้เด็กพิเศษสามารถเรียนอยู่ในชั้นเรียนปกติได้ รวมทั้งเป็นผู้ให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับตัวเด็ก นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจกระบวนการในการประสานงานกับบุคลากรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องให้การบำบัดรักษา หรือฟื้นฟูสมรรถภาพให้แก่เยาวชนผู้พิการอย่างต่อเนื่อง เช่น นักกายภาพบำบัด นักโสตสัมผัสวิทยา แพทย์ นักแก้ไขการพูด เป็นต้น
ผู้ช่วยครู
เป็นอาสาสมัคร หรือผู้ที่ทางโรงเรียนว่าจ้าง โดยได้รับการฝึกอบรมให้ทำหน้าที่ช่วยครูพิเศษประจำชั้นในการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กพิการขณะเด็กเรียน ทำกิจกรรมรับประทานอาหาร เข้าห้องน้ำ หรือช่วยในห้องสอนเสริม หรือห้องฟื้นฟูบำบัด
ครูแนะแนว
เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมด้านการศึกษา และจิตวิทยาการแนะแนว ทำหน้าที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ ในกรณีที่โรงเรียนไม่มีนักสังคมสงเคราะห์ ช่วยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กพิเศษจากครู จากบันทึกของทางโรงเรียน พ่อแม่ หน่วยงานใน ชุมชน เป็นต้น เพื่อประสานโปรแกรมการศึกษากับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลความก้าวหน้าของเด็ก ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งให้บริการแนะแนวทางการศึกษา และอาชีพด้วย
ครูสอนพูด
เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมให้มีความสามารถสอนพูดและภาษาให้กับเด็กพิการ รวมทั้งสามารถแก้ไขการพูดไม่ชัด โดยร่วมมือกับนักแก้ไขการพูดในการวางแผนการสอนพูดและภาษา
นักจิตวิทยาประจำโรงเรียน
ผู้ที่ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมมาทางด้านจิตวิทยา สามารถทำการตรวจสอบทางจิตวิทยา ปรับพฤติกรรมเด็กพิการ ช่วยรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการประเมินเด็ก สังเกตเด็กพิการในชั้นเรียนปกติ สัมภาษณ์พ่อแม่ หรือให้คำแนะนำแก่บุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอธิบาย หรือแปลความหมายผลการตรวจสอบให้พ่อแม่ ครู และผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบ และเข้าใจ
นักสังคมสงเคราะห์ประจำโรงเรียน
เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมทางด้านสังคมสงเคราะห์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ แก่พ่อแม่ ครู และตัวเด็กเอง ในเรื่องของการให้การสงเคราะห์แก่เด็กพิการที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของครอบครัว ศึกษาปัญหา และสภาพแวดล้อมของเด็ก โดยการเยี่ยมบ้าน ติดตามผล และประสานประโยชน์ระหว่างโรงเรียน องค์กรในชุมชน และทางบ้าน
พยาบาลประจำโรงเรียน
เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมด้านการพยาบาล ศึกษา ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลทางการแพทย์ ที่เกี่ยวกับเด็ก อธิบายถึงผลกระทบของความบกพร่องที่มีต่อการศึกษาของเด็ก ช่วยในการคัดแยกเด็กที่มีปัญหาทางการเห็น หรือการได้ยิน อธิบาย หรือแปลความหมายบันทึก หรือรายงานทางการแพทย์ ให้บริการแก่เด็กพิการที่เจ็บป่วยเรื้อรัง ที่ต้องการการเอาใจใส่ทางการแพทย์ติดต่อกัน รวมทั้งช่วยให้พ่อแม่ของเด็กพิการได้รับบริการทางการแพทย์ สำหรับลูกพิการของเขา
แพทย์
เป็นผู้ได้รับการศึกษา และฝึกอบรมให้เป็นผู้ชำนาญเฉพาะทาง เช่น แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู จิตแพทย์ จักษุแพทย์ ศัลยแพทย์ทางกระดูก กุมารแพทย์ แพทย์ทางด้าน หู คอ จมูก ทำหน้าที่ตรวจวินิจฉัย และให้การบำบัดรักษา เพื่อปรับสภาพความพิการ และฟื้นฟูสมรรถภาพของเด็กพิการ ติดตามผลการรักษา ฟื้นฟู โดยอาจเปลี่ยนแปลงการรักษา และฟื้นฟู ให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของความพิการ เพื่อทำให้การฟื้นฟูสมรรถภาพบรรลุผลสูงสุด
นักกายภาพบำบัด
เป็นผู้มีความชำนาญในการใช้เทคนิครักษาผู้ป่วยด้วยเครื่องมือชนิดต่างๆ เพื่อพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และข้อต่อที่ทำหน้าที่ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ฝึกการใช้กายอุปกรณ์เสริมหรือเทียม และเครื่องช่วยในการเคลื่อนไหว รวมทั้งควบคุมการบำบัด ด้วยกายบริหารในกำหนดการต่างๆ ที่แพทย์สั่ง
นักกิจกรรมบำบัด
เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการเลือกเฟ้นงานฝีมือ และกิจกรรมต่างๆ มาให้บุคคลพิการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลทางการรักษา การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน รวมถึงการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ นักกิจกรรมบำบัดยังช่วยประดิษฐ์ หรือดัดแปลงอุปกรณ์ หรือเครื่องมือ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานการเรียนการสอน ตลอดจนให้คำแนะนำที่จำเป็นแก่ครูและนักกายอุปกรณ์เสริมและเทียม
นักกายอุปกรณ์เสริมและเทียม
เป็นผู้ผลิตกายอุปกรณ์เสริม ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเสริมความแข็งแรงให้แก่ส่วนของร่างกายที่พิการ และดัดแก้ความพิการ ที่สามารถดัด แก้ไขได้ เช่น รองเท้าสำหรับคนพิการ เครื่องช่วยพยุง ปลอกคอกันสะเทือน อุปกรณ์ประคองข้อต่างๆ รวมทั้งผลิตกายอุปกรณ์เทียม ซึ่งเป็น อุปกรณ์ที่ใช้แทนส่วนของแขนขาที่ขาดหายไป เช่น นิ้วเทียม แขนและขาเทียม เป็นต้น
นักจิตวิทยาคลินิก
เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในการตรวจและวินิจฉัยทางจิตวิทยา เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการแก้ปัญหา เป็นผู้แก้ไขปัญหาทางพฤติกรรม และอารมณ์ รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพจิต กระตุ้นให้บุคคลพิการมีกำลังใจในการที่จะฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างเต็มที่ และให้ข้อเสนอแนะกับครูผู้สอนเด็กพิการด้วย
นักแก้ไขการพูด
เป็นผู้ที่สามารถประเมิน และตรวจสอบความสามารถ และความ บกพร่องในการพูด เพื่อทำการส่งเสริมแก้ไขการพูด และพัฒนาการทางภาษาที่ผิดปกติ และเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติเหล่านั้น ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการให้การรักษาอย่างถูกต้องของแพทย์ได้
นักโสตสัมผัสวิทยา
เป็นผู้ที่สามารถตรวจ และวินิจฉัยสมรรถภาพการได้ยิน คัดเลือก ให้คำแนะนำ ติดตาม และประเมินผล การใช้เครื่องช่วยฟังทำการฟื้นฟูสมรรถภาพ การได้ยิน ฝึกฟัง ฝึกใช้การมองในการสื่อความหมาย พัฒนาภาษา และการพูด ให้คำแนะนำ ปรึกษาแก่ผู้ปกครองและครู ด้านจิตใจ สังคม และการจัดการศึกษาให้กับเด็กพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน และเด็กพิการอื่นๆ ที่มี ปัญหาการพูด และภาษา
ที่ปรึกษาด้านอาชีพ
เป็นผู้ให้คำแนะนำร่วมกับแพทย์ในการฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความพิการของบุคคล ทำหน้าที่ประเมินด้านอาชีพ เช่น ความสามารถ ความถนัด ความสนใจ และอุปนิสัยในการทำงาน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ การฝึกเตรียมอาชีพ รวมทั้งวิธีการตรวจสอบทางจิตวิทยา เพื่อประเมินระดับสติปัญญา นอกจากนี้ที่ปรึกษาด้านอาชีพยังมีหน้าที่ทำกำหนดการฝึกอาชีพ แก้ปัญหาในการฝึกอาชีพ ตลอดจนจัดหางานที่เหมาะสมให้ทำ เมื่อฝึกอาชีพได้แล้ว
ผู้ปกครอง
เป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติของเด็ก ในเวลาที่อยู่นอกโรงเรียน ร่วมวางเป้าหมาย ทางการศึกษาสำหรับเด็ก ให้การสนับสนุน หรือทดแทนส่วนใดส่วนหนึ่งของโปรแกรมการศึกษา ที่ทางโรงเรียน หรือหน่วยงานของเด็กจัดให้ไม่สมบูรณ์ หรือขาดไป
พูนพิศ อมาตยกุล (2549)
ทีมบุคลากรที่ทำงานกับคนพิการ
ทีมบุคลากรฟื้นฟูด้านการแพทย์
ทำหน้าที่ก่อนบุคลากรกลุ่มอื่น โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งหากเป็นคนพิการ ทีมการแพทย์จำเป็นและขาดไม่ได้
ทีมบุคลากรฟื้นฟูด้านการศึกษา
วางแผน และรับแผนไปคิดเตรียมการ ก่อนถึงกำหนดเข้าเกณฑ์เรียน เป็นงานใหญ่ลาดับที่ 2
จะต้องทำไปจนคนพิการหยุดการศึกษาระดับอุดมศึกษา เสมอคนทั่วไป
ทีมบุคลากรฟื้นฟูด้านสังคม
เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่มีความหลากหลายมากหลายกลุ่มย่อย และมีงานทำไม่รู้จบ คือ งานความอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตทุกอย่าง ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ตลอดจนเรื่อง สิทธิคนพิการ กฎหมาย ความเสมอภาคในการเป็นมนุษย์ ฯลฯ
ทีมบุคลากรฟื้นฟูด้านอาชีพ
เป็นทีมงานที่สาคัญที่จะจัดเรื่องการฝึกอาชีพ และ ดำเนินการให้คนพิการสามารถประกอบอาชีพจนเลี้ยงตัวได้
ทีมบุคลากรฟื้นฟูด้านสนับสนุน เทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก เพื่อคนพิการ
เป็นทีมงานนักวิชาการกลุ่มใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการสรรหา สร้างหรือ ปรับปรุง การใช้เทคโนโลยี เพื่อให้คนพิการ มีสิทธิใช้บรรดาสิ่งนานาชนิดที่คนทั่วไปใช้ในโลกนี้ ให้เกิดความสะดวก และปลอดภัยกับคนพิการ
การทำงานประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง ?
เอกสารประกอบการสอนวิชาการจัดการปัญหาพฤติกรรมในชั้นเรียนของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
Establishing a team ตั้งทีมงานเพื่อวางแผนช่วยเหลือนักเรียน
Goal setting ร่วมกันวางแผนการช่วยเหลือระยะสั้นและระยะยาว
Data collection วางแผนการเก็บข้อมูลของนักเรียน เพื่อนำมาใช้ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในขั้นต่อไป
Assessment วิเคราะห์ประเมินสาเหตุของพฤติกรรม เพื่อนำมาวางแผนในการช่วยเหลือต่อไป
Implement the intervention ดำเนินการช่วยเหลือ ติดตามและประเมินผล
Evaluation ประเมินประสิทธิภาพของการให้ความช่วยเหลือ