Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
นางสาว ไมมูนะฮ์ ไพรชำนาญ
รหัส6006510082 (บทที่ 3 (ซอฟต์เเวร์ระบบuploaded…
นางสาว ไมมูนะฮ์ ไพรชำนาญ
รหัส6006510082 
บทที่2
วัตถุประสงค์ของโครงการ
- เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในระดับนักเรียน นิสิต นักศึกษา
- เพื่อพัฒนาทักษะความคิดริเริ่มในการเขียนโปรแกรมอันจะเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านซอฟต์แวร์ในอนาคต
- เพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถทางด้านการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้สามารถเกิดประโยชน์ในการนำไปใช้ต่อไป
- เพื่อสร้างเวทีการแข่งขันและสร้างความสนใจสำหรับเยาวชนที่มีความสามารถด้านคอมพิวเตอร์และเทคนิคการเขียนโปรแกรม
- เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์ต้นแบบที่หลากหลายซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
ฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในปัจจุบันประกอบด้วยวงจรไฟฟ้า
อิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) มีส่วนประกอบหลัก 5 ส่วนคือ
1.หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)
หรือซีพียู (CPU)
2.หน่วยรับเข้า (Input Unit)
3.หน่วยส่งออก (Output Unit)
4.หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
5.หน่วยความจำรอง (Secondary Memory)
- Static RAM (SRAM)
ทำจากวงจรที่ใช้เก็บข้อมูลด้วยสถานะ “มีไฟ” กับ “ไม่มีไฟ” ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังมีกระแสไฟฟ้าเลี้ยงวงจรอยู่
นิยมไปใช้ทำเป็นหน่วยความจำแคช (Cache) ภายในตัว CPU เพราะมีความเร็วในการทำงานสูงกว่า DRAM มาก แต่ไม่สามารถทำให้มีขนาด ความจุสูงๆได้ เนื่องจากราคาแพงและกินกระแสไฟมากจนมักทำให้เกิดความร้อนสูง อีกทั้งวงจรก็ยังมีขนาดใหญ่ด้วย
- Dynamic RAM (DRAM)
ทำจากวงจรที่ใช้การเก็บข้อมูลด้วยสถานะ “มีประจุ” กับ “ไม่มีประจุ” ซึ่งวิธีนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่า SRAM มาก แต่โดยธรรมชาติแล้ว ประจุไฟฟ้าจะมีการรั่วไหลออกไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นเพื่อให้ DRAM สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาตราบใดที่ยังมีกระแสไฟเลี้ยงวงจรอยู่ จึงต้องมีวงจรอีกส่วน หนึ่งคอยทำหน้าที่ “เติมประจุ” ไฟฟ้าให้เป็นระยะๆ ซึ่งเรียกกระบวนการเติมประจุไฟฟ้านี้ว่าการ รีเฟรช (Refresh)
หน่วยความจำ ประเภท DRAM นี้ นิยมนำไปใช้ทำเป็นหน่วยความจำหลักของระบบในรูปแบบของชิปอที (Integrated Circuit) บนแผงโมดูลของ หน่วยความจำ RAM หลากหลายชนิด เช่น SDRAM, DDR, DDR2, DDR3 และ RDRAM เป็นต้น โดยสามารถออกแบบให้มีขนาดความ จุสูงๆได้ กินไฟน้อย และไม่เกิดความร้อนสูง
-
-
บทที่ 3
ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึงชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วยคำสั่งของคอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากที่ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสอง ซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแม้แต่เป็นเสียงพูดก็ได้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์ เพราะเป็นลำดับขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำงานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
การที่เราเห็นคอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราได้มากมาย เพราะว่ามีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาให้เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ ร้านค้าอาจใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีที่ยุ่งยากซับซ้อน บริษัทขายตั๋วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบการจองตั๋ว คอมพิวเตอร์ช่วยในเรื่องกิจการงานธนาคารที่มีข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คอมพิวเตอร์ช่วยงานพิมพ์เอกสารให้สวยงาม เป็นต้น การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญมาก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นไปได้ตามที่ต้องการ
ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักคือๆ1.หน่วยประ่มวลผลกลาง (Central Processing Unit = CUP) เปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะทำหน้าที่คิดคำนวณและประมวลผลชุดคำสั่ง ๆที่เราสั่งเข้าไป2.หน่วยรับข้อมูลเข้า (INput Unit) เป็นอุปกรณ์ที่รับและส่งข้อมูลเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์เช่น แป้นพิมพ์ (Keyboard) , และเมาส์ (Mouse) เป็นต้น3.หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ได้จากการประมวลผลต่างๆ โดยอาจจะแสดงออกมา เช่น
8 บิต (Bit) = 1 ไบต์ (Bite)
bit ความหมาย: บิต, เลขโดดฐาน 2, หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด มีค่าเป็นตัวเลขระบบฐาน 2 คือ 0 หรือ 1
บอกเล่า : คือข้อมูลที่มีค่าเป็นตัวเลขระบบฐาน 2 คือ 1 หรือ 0 อย่างไดอย่างหนึ่งเท่านั้น
KB ย่อมาจาก Kilobyte: ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ มีค่าเท่ากับ 1024 ไบต์
MB ย่อมาจาก Megabyte: ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถเก็บตัวอักษรได้ 1 ล้านตัว หรือมีค่าเท่ากับ 2 ยกกำลัง 20 = 1,048,567 BYTES หรือเท่ากับ 1024 กิโลไบต์
GB ย่อมาจาก Gigabyte: ปริมาณหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ มีค่าเท่ากับ 1024 MB
สรุปคือ
1 Byte (ไบต์) = 1 ตัวอักษร
1 KB (กิโลไบต์) = 1024 ตัวอักษร
1 MB (เมกกะไบต์) = 1024 KB
1 GB (กิกะไบต์) = 1024 MB
1 TB (เทราไบต์)= 1024 GB
ภาษาคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาหรือมีวิวัฒนาการโดยลำดับเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์
โดยจะสามารถแบ่งออกเป็นยุคหรือเป็นรุ่นของภาษา (Generation) ซึ่งในยุคหลังๆ
จะมีการพัฒนาภาษาให้มีความสะดวกในการอ่านและเขียนง่ายขึ้นกว่าภาษาในยุคแรกๆ
เนื่องจากจะมีโครงสร้างภาษาใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ
สามารถแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุค
ภาษาเครื่อง (Machine Language)
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)
ภาษาชั้นสูง (High - level Language)
ภาษาชั้นสูงมาก (Very High - level Language)
ภาษาธรรมชาติ (Natural Language)
ภาษาคอมพิวเตอร์ มี 3 ระดับ คือ
- ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) เป็นภาษาที่มนุษย์ทำความเข้าใจได้ยาก ส่วนใหญ่ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ และฮาร์ดแวร์เป็นอย่างดีจึงจะสามารถ เขียนโปรแกรมสั่งงานได้มีข้อดีในส่วนที่เขียนโปรแกรมควบคุมอาร์ดาแวร์แต่ละส่วนได้โดยตรงจึงทำงานได้เร็ว แต่ไม่เหมาะที่จะใช้ในการพัฒนาโปรแกรม ตัวอย่างของภาษาระดับต่ำได้แก่ ภาษาเครื่อง (Machine Language) และภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) เป็นต้น
- ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language) เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะมีลักษณะ เป็นภาษาแบบโครงสร้าง ทำความเข้าใจได้เหมือนกับภาษาระดับสูงแต่ทำงานได้รวดเร็ว เหมือนกับภาษาระดับต่ำ สามารถใช้บนเครื่องที่มีความเร็วต่างกันโดยไม่ต้องดัดแปลง ภาษาระดับกลางจึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ตัวอย่างของภาษาระดับกลาง ได้แก่ ภาษาซี เป็นต้น
3.ภาษาระดับสูง (High Level Language) เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ง่าย มีลักษณะของ การใช้คำสั่งเป็นภาษาอังกฤษซึ่งใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานจะต้องมีการแปลความหมายของคำสั่งโดยใช้ตัวแปลภาษาทีละชุดคำสั่งที่เรียกว่า Interpreter หรือแปลครั้งเดียวทั้งโปรแกรมที่เรียกว่า Compiler
ซอฟต์เเวร์ระบบ
ซอฟต์เเวร์ประยุกต์ 
ระบบปฏิบัติการถูกสร้างขึ้นโดยวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือทราบถึงกลไกการทำงานภายในระบบคอมพิวเตอร์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระบบปฏิบัติการเอง โดยหน้าที่ของระบบปฏิบัติการมีหน้าที่หลักสำคัญดังต่อไปนี้
ติดต่อประสานงานกับผู้ใช้ ( User Interface )
ในการติดต่อเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถติดต่อหรือสั่งงานผ่านทางคีย์บอร์ดหรือเมาส์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอส ( DOS ) เมื่อเข้าสู่ระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะมีเครื่องหมายพร้อมรับคำสั่ง ( Prompt ) ผู้ใช้งานสามารถใช้คำสั่งต่าง ๆ เพื่อติดต่อผ่านทาง Command Line ในขณะที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ( Windows ) จะแสดงผลในรูปแบบของภาพโดยติดต่อในลักษณะ Graphics User Interface ( GUI ) บนเดสก์ท็อปจะมีไอคอน ( Icon ) โปรแกรมต่าง ๆ ที่เปรียบเสมือนกับคำสั่ง เมื่อต้องการใช้งานก็ทำการดับเบิ้ลคลิกตรงไอคอนนั้น ๆ โปรแกรมก็จะปฏิบัติงานตามคำสั่งทันที
รูปที่ 1.28 การติดต่อกับผู้ใช้ในลักษณะ Command Line ในระบบปฏิบัติการดอ
รูปที่ 1.29 การติดต่อกับผู้ใช้ในลักษณะ GUI ในระบบปฏิบัติการวินโดวส์
ควบคุมดูแลอุปกรณ์ ( Control Devices )
ผู้ใช้งานามารถใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ด ดิสก์ไดร์ฟ หรือเครื่องพิมพ์อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ตัวระบบปฏิบัติการจะเป็นผู้ที่ควบคุมดูแลการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้การทำงานของระบบโดยรวมเป็นไปอย่างถูกต้องและมีความสอดคล้องกัน ระบบปฏิบัติการในส่วนของรูทีน( I/O Subsystem ) ที่ควบคุมอุปกรณ์แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละอุปกรณ์ เช่น รูทีนควบคุมการแสดงผลของจอภาพ รูทีนควบคุมการทำงานของดิสก์ไดร์ฟ ซึ่งรูทีนเหล่านี้ผู้ใช้อาจเรียกใช้งานผ่านทาง System Call ซึ่งจัดเป็นบริการการติดต่อกันระหว่างโปรเซสกับระบบปฏิบัติการ ทำให้ประหยัดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมขึ้นมาใหม่เพื่อควบคุมอุปกรณ์เหล่านั้น การเรียกใช้งานอุปกรณ์ผ่านทาง System Callจึงทำให้ประหยัดเวลาและทำให้การติดต่อควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้ใช้ที่มีความสามารถและมีความเข้าใจการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้นกับระบบปฏิบัติการเป็นอย่างดี ก็อาจจะทำการเขียนโปรแกรมควบคุมอุปกรณ์ด้วยตนเองก็ได้ เพื่อใช้งานเฉพาะอย่างที่ต้องการ
- จัดสรรทรัพยากร ( Resource ) ต่าง ๆ ภายในระบบให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทรัพยากร ( Resource ) คือสิ่งซึ่งถูกใช้ไปเพื่อให้โปรแกรมสามารถดำเนินงานต่อไปได้ตัวอย่างทรัพยากรในระบบ เช่น ซีพียู หน่วยความจำ อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุตต่าง ๆ สาเหตุที่จำเป็นต้องมีการจัดสรรทรัพยากรในระบบก็เพราะว่า
3.ทรัพยากรของระบบมีจำนวนจำกัด
ทรัพยากรในระบบ เช่น ซีพียู ซึ่งคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักมีซีพียูเพียงตัวเดียวในการประมวลผล แต่ซีพียูก็จำเป็นต้องทำการประมวลผลต่าง ๆ มากมายในขณะเดียวกันดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดสรรการใช้งานซีพียูที่มีอยู่เพียงตัวเดียวให้สามารถประมวลผลงานต่าง ๆ ที่เข้ามาให้ได้อย่างเหมาะสม และเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า
3..2 ความต้องการทรัพยากร
ในบางครั้งและในหลาย ๆ กรณี โปรแกรมต่าง ๆ มีความต้องการใช้ทรัพยากรประเภทของทรัพยากรเหล่านั้นเพื่อตอบสนองการบริการตามความต้องของแต่ละโปรเซสหรือโปรแกรมเหล่านั้นได้ โดยทรัพยากรหลัก ๆ ที่ระบบปฏิบัติการได้จัดสรรไว้ประกอบด้วยซีพียู หน่วยความจำ อุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต และข้อมูุล
Comments
You do not have permission to add
ตัวอย่าง operrathing
ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator)
♦ แอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาแอสแซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง
♦ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ ไปเป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลพร้อมกับงานตามคำสั่งทีละบรรทัดตลอดทั้งโปรแกรมทำให้การแก้ไขโปรแกรมทำได้ง่ายและรวดเร็ว
แต่ออบเจคโคดที่ได้จากการแปลโดยการใช้อินเตอร์พรีเตอร์นั้นไม่สามารถเก็บไว้ใช้ใหม่ได้จะจะต้องแปลโปรแกรมใหม่ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน
♦ คอมไพเลอร์ (Compiler) จะเป็นตัวแปลภาษาระดับสูงเช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์แต่จะใช้วิธีแปลโปรแกรมทั้งโปรแกรมให้เป็นออบเจคโคด ก่อนที่จะสามารถนำไปทำงานเช่นเดียวกับแอสแซมเบลอ ออบเจคโคดที่ได้จากการแปลนั้นสามารถจัดเก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูล เพื่อให้นำไปใช้ในการทำงานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นข้อดีของคอมไพเลอร์ที่จะนำผลที่ได้จากการแปลนั้นไปใช้งานกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด ไม่ต้องเสียเวลาในการแปลใหม่ทุกครั้ง ทำให้เป็นรูปแบบการแปลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ในปัจจุบัน มีหลักการแปลภาษาคอมพิวเตอร์แบบใหม่เกิดขึ้น คือแปลจากซอร์สโคดไปเป็นรหัสชั่วคราวหรืออินเทอมีเดียตโคด (Intermediate code)ซึ่งสามารถนำไปทำงานได้ด้วยการใช้โปรแกรมในการอ่านและทำงานตามรหัสชั่วคราวนั้นโดยโปรแกรมนี้จะมีหลักการทำงานคล้ายกับ
อินเทอพรีเตอร์ แต่จะทำงานได้เร็วกว่าเนื่องจากรหัสชั่วคราวจะใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก มีข้อดีคือสามารถนำรหัสชั่วคราวนั้นไปใช้ได้กับทุก ๆ เครื่องที่มีโปรแกรมตีความได้ทันที
-
-
-